ร่มไม้ชายศาล
รถไฮโดรเจนอีกแล้ว
ปัจจุบันนี้ ข่าวที่พวกเราจะเป็นจะตายตลอดมา ก็คือ น้ำมันแพง จนทำให้เศรษฐกิจหัวทิ่ม ทำท่าจะเกิดโรคต้มยำกุ้งเป็นพิษรอบสอง ขณะที่ฝ่ายการเมืองก็แย่งชิงอำนาจกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาร่ำๆ จะเป็นสงครามกลางเมืองเหมือนที่อื่น มีการตกเบ็ด สร้างคะแนนนิยม ด้วยการเอาภาษีของชาวบ้านมาทำโพรโมชันประชานิยมอย่างหนัก
ก็มีข่าวเล็กๆ ออกมา ระบุว่าอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่ต่างจังหวัด ประดิษฐ์คิดค้นรถใช้น้ำเปล่าเติมเข้าไป เพื่อแปลงเป็นไฮโดรเจน ป้อนเข้าเครื่องยนต์เป็นเชื้อเพลิงร่วมกับน้ำมันเบนซินโดยใช้เครื่องยนต์ที่มีอยู่เดิม วิ่งได้ปร๋อ จดลิขสิทธิ์ไว้ที่เมืองไทยเรียบร้อยแล้ว
อันที่จริงน่าจะเป็นข่าวใหญ่ ยิ่งกว่าข่าวใดๆ ในเมืองไทย ไม่ว่าเรื่องการเมือง หรือกีฬ่าโอลิมปิคเสียด้วยซ้ำ รัฐบาลซึ่งต้องการหาคะแนนนั่นแหละ ควรโดดเข้าไปแจมเต็มพิกัดเพราะถ้าสำเร็จ และเป็นจริง หมายความว่า ชาวโลกหลุดพ้นจากการเป็นทาสน้ำมันเกือบสิ้นเชิง ใช้น้ำมันแค่บางส่วน ที่สำคัญ คือ ใช้รถยนต์ที่ชาวโลกมีอยู่แล้ว โดยไม่ต้องทิ้งของเก่าไปซื้อของใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ไทยจะเป็นมหาอำนาจด้านพลังงานทดแทน นำเงินตราเข้าประเทศยิ่งกว่า บิลล์ เกทส์
เข้าใจว่าเราเข็ดเขี้ยวกับข่าวทำนองนี้มาพอสมควร ล่าสุด คือ อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน ทางการเล่นด้วย กลายเป็นของปลอมลวงโลก เซ็งเป็ด ไปตามๆ กัน
เอาเถอะครับ อย่าเพิ่งมองข้าม ขอให้บริษัทยักษ์ใหญ่ (ซึ่งไม่เกี่ยวกับไอ้พวกที่ค้าน้ำมัน) ลองชะโงกหน้าเข้าไปดูผลงานรถพลังงานไฮโดรเจนผสมน้ำมันของอาจารย์บ้านนอกสักหน่อยเถิดเผื่อฝันเป็นจริง เราจะได้เฮ สนับสนุนให้อาจารย์เป็นเศรษฐีโลกไปเลย ส่วนภาครัฐมัวแต่ฟาดฟันเรื่องการเมือง ไม่มีเวลามาสนใจอยู่แล้วละ ก็ปล่อยเขาไป
ครั้งนี้มาว่ากันถึงคดีความอย่างเคย งวดนี้น่าสนใจเป็นเรื่องของการรับมือกับเศรษฐกิจเดี้ยงจะได้รู้ว่าการลดเงินเดือนพนักงานลูกจ้างทำได้หรือไม่ มีปัญหาหรือไม่ ?
นายมือหนึ่ง เป็นพนักงานระดับสูงของบริษัทขายรถยนต์แห่งหนึ่ง ก่อนเศรษฐกิจตกต่ำรับประทานเงินเดือนไม่น้อย ตั้ง 35,000 บาท มีรายได้พิเศษจากการขายรถให้กับบริษัทอีกต่างหาก ถ้าขายได้ 1-5 คัน ได้คันละ 1 พันบาท ขายได้ถึง 10 คัน ตั้งแต่คันที่ 6 ขึ้นไปได้คันละ 1,500 บาท ขายเกิน 10 คัน คันที่ 1 เป็นต้นไป คันละ 2,000 บาทนายมือหนึ่ง มีรายได้เข้าขั้นสบายหายห่วง
สิ่งที่แน่นอน คือ ความไม่แน่นอน ต่อมาเศรษฐกิจสลบ บริษัทขายรถรายนี้กระทบด้วยเพื่อความอยู่รอดของทุกฝ่าย บริษัทเรียกประชุมพนักงาน ได้ข้อตกลงว่าจะต้องลดเงินเดือนครึ่งหนึ่งกันทุกคน ใครไม่เห็นชอบ ลาออกได้ บริษัทยินดีจ่ายค่าชดเชยให้ นายมือหนึ่งตกลงด้วย ทำงานกินเงินเดือนครึ่งหนึ่งอยู่ครึ่งปีเศษจึงลาออก
การลาออกครั้งนี้บริษัทจ่ายเงินสะสมพร้อมดอกเบี้ยให้เท่านั้น ในเมื่อเป็นการลาออกปรากฏว่า นายมือหนึ่ง ไม่ธรรมดา มองหาแง่มุมไว้แล้วจึงทวงถามให้บริษัทจ่ายเงินเดือนในส่วนที่ขาดไปครึ่งหนึ่ง เงินค่าขายรถ และเงินอื่นๆ เมื่อไม่ได้แต่โดยดี จึงฟ้องต่อศาลแรงงานกลางทันที
เรียกร้องให้จ่ายเงินเดือนที่ขาดไปครึ่งหนึ่ง เงินที่ได้จากค่าขายรถ รวมกันเป็น เงินต้น เงินเพิ่มและดอกเบี้ย 4,386,803 บาท พร้อมเงินเพิ่ม และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินต้น 6แสนกว่าบาท น้อยซะเมื่อไหร่ ถ้าได้เต็มจำนวนเป็นเศรษฐีน้อยไปเลย
บริษัทที่โดนฟ้องถึงกับมึน จะเอากันขนาดนั้นเลยหรือ รีบยื่นคำให้การสู้คดี แจงไปว่าได้มีการประชุมตกลงกันอย่างดิบดีตอนเศรษฐกิจมีปัญหา พนักงานทุกคนรวมทั้ง นายมือหนึ่ง สมัครใจยอมลดเงินเดือน จึงเรียกร้องไม่ได้ ส่วนเงินอย่างอื่นจ่ายครบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว ตัดสินให้บริษัทจ่ายเงินเดือนที่ขาดเกือบ 5 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของเงิน 4 แสนกว่าบาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะจ่ายครบผลประโยชน์จากการขายรถอีกเกือบ 1.5 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีจำเลย คือ บริษัทยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน ยืนยันว่าได้มีการตกลงเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างการจ่ายเงินเดือน โดยลูกจ้างตลอดจน นายมือหนึ่งยินยอมแล้ว กินเงินเดือนครึ่งหนึ่งตลอดมา โดยไม่โต้แย้งคัดค้าน จึงเรียกร้องเอาเต็มตามเดิมไม่ได้ เงินอื่นๆ ก็จ่ายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาพิจารณาคดีนี้อย่างสบายๆ ขณะที่บริษัทนั่งลุ้นนอนลุ้นด้วยความไม่สบายสักเท่าไรในที่สุดศาลฎีกาชี้ขาดออกมาว่า
ปรากฏหลักฐานว่า บริษัทได้เรียกผู้จัดการฝ่ายทุกคน รวมทั้ง นายมือหนึ่ง มาประชุมชี้แจงเรื่องลดเงินเดือนเพื่อรับมือปัญหาเศรษฐกิจ พนักงานตกลงรับเงินเดือนค่าจ้างแค่ครึ่งเดียวผลการประชุมได้แจ้งให้พนักงานบริษัททราบ บริษัทได้จ่ายเงินเดือนครึ่งหนึ่งเรื่อยมาโดย นายมือหนึ่ง ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน
งานนี้ถือว่า ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงโดยปริยาย ให้บริษัทแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เรื่องอัตราค่าจ้าง บริษัทจึงมีสิทธิลดค่าจ้าง บริษัทไม่ได้ค้างค่าจ้างนายมือหนึ่ง ตามที่ฟ้องมา
แต่ผลประโยชน์จากการขายรถ ซึ่งบริษัทอ้างว่า มีข้อตกลงว่าจะจ่ายหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรองประธานบริษัท ถือว่า นายมือหนึ่ง ยินยอมให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขการจ่ายผลประโยชน์ เมื่อบริษัทตกลงไม่จ่าย นายมือหนึ่ง จึงไม่มีสิทธิได้รับศาลฎีกาแจงว่า ข้อโต้แย้งอย่างนี้เป็นปัญหาข้อเท็จจริง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลแรงงานกลาง จึงไม่รับวินิจฉัย
ว่าแล้วศาลฎีกาก็พิพากษาแก้ บริษัทไม่ต้องจ่ายค่าจ้างที่ นายมือหนึ่ง อ้างว่าค้างจ่ายสบายไปอักโข จ่ายแค่แสนกว่าบาทเท่านั้นเอง
สิ่งที่น่าสนใจ คือ การทำข้อตกลงลดเงินเดือนค่าจ้าง ตามแนวทางคำตัดสินของศาลในคดีนี้ ถือว่าทำได้ ถ้ามีการประชุมตกลงกัน และได้รับความยินยอมจากลูกจ้างพนักงานแล้ว
ถ้าเศรษฐกิจมีปัญหาขึ้นมา ถ้าจะลดค่าจ้าง บรรดานายจ้างต้องเป็นมวย ต้องมีการประชุมมีรายงานการประชุมเป็นหลักฐาน ป้องกันลูกจ้างตลบหลัง
ขณะเดียวกัน ถ้าลูกจ้างไม่สมัครใจให้ลดค่าจ้าง ต้องโต้แย้งคัดค้านไว้ให้ปรากฏ ซึ่งแน่นอนนายจ้างเขาก็ต้องเลิกจ้างไปเลย ไม่เอาไว้อยู่ดี
การทำตัวเป็นหัวหมออย่าง นายมือหนึ่ง ใช้วิธีตลบหลัง ฟ้องร้องอย่างคดีนี้เพื่อเอาค่าจ้างเต็มที่ แถมด้วยเงินเพิ่ม และดอกเบี้ยอีกมากมายก่ายกอง ถือว่าหัวเสไม่เบา
แต่ศาลฎีกาท่านไม่เล่นด้วย นายมือหนึ่ง จึงกินสมหวังตามระเบียบ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1921/2545
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/79010