ประกันภัย
เศรษฐกิจทรุด ประกันภัยอาการหนัก
เรื่องที่จะพูดคุยฉบับนี้เป็นเรื่องต่อเนื่องกับฉบับที่แล้ว กล่าวคือ เป็นผลต่อเนื่องจากระบบเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากปัญหาราคาน้ำมันที่แพงทุกวัน แบบยังไม่รู้ว่าเพดานอยู่ตรงไหน และมีผลกระทบไปยังราคาสินค้าอื่นๆ ต้องปรับตัวขึ้นตาม ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ค่าแรง ค่าครองชีพ จำต้องปรับตัวสูงขึ้นเพื่อชดเชยกัน ผลพวงที่ตามมาก็กระทบทุกภาคทุกส่วนของระบบเศรษฐกิจไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่กระทบไปทุกประเทศทั่วโลก
ในแวดวงประกันภัยก็ไม่ได้รับการยกเว้นเพราะอยู่ในระบบเศรษฐกิจ กลุ่มเดียวกับสถาบันการเงิน ที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นในด้านต่างๆ คือ
1. ต้องปรับค่าครองชีวิตให้พนักงานทุกคนของบริษัท โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่คนละประมาณ 1,000 บาท ถึง 3,000 บาท/เดือน ตามแต่ระดับขั้นเงินเดือน และต้องทำงานนอกสถานที่หรือในต่างจังหวัดหรือไม่ ซึ่งคำนวณคร่าวๆ บริษัทที่มีพนักงานประมาณ 100 คน ต้องมีค่าใช้จ่ายรายเดือนสำหรับพนักงานเพิ่มประมาณ 100,000-300,000 บาท ถ้าเป็นบริษัทใหญ่มีพนักงาน 1,000 คน ขึ้นไป ต้นทุนพนักงานจะเพิ่มรายเดือนประมาณ 13 ล้านบาท เลยทีเดียว
2. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าวัสดุอุปกรณ์เครื่องใช้ในสำนักงาน ค่าติดต่อประสานงานต่างๆ ล้วนแล้วแต่ต้องเพิ่มขึ้นตามสภาวการณ์ที่เป็นไป รวมถึงค่าติดตามหนี้ลูกค้าซึ่งจ่ายช้า หรือต้องตามเก็บถึงหลายครั้งต่อราย
3. ค่าใช้จ่ายในการเคลมหรือสำรวจภัย ซึ่งแยกเป็น
3.1 ค่าน้ำมันรถของพนักงานเคลม หรือ พนักงานสำรวจภัยของบริษัทเอง
3.2 ค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้สำรวจภัย หรือบริษัทเซอร์เวย์ ภายนอก ที่ต้องปรับเพิ่มค่าจ้างเช่นกัน
3.3 ค่าอะไหล่ ค่าแรงในการเปลี่ยนหรือซ่อมคืนสภาพให้ลูกค้าและคู่กรณี ถูกปรับเพิ่มตามสภาพตลาด เฉลี่ยร้อยละ 10-30 (ซึ่งบริษัทอาจลดต้นทุนได้บ้างโดยวิธีจัดหาของเทียม ของเกรดเทียบ หรือของเก่ามือสองให้แทน ซึ่งลูกค้าหรือคู่กรณียอมรับได้)
3.4 ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้ผู้เอาประกันหรือผู้เสียหายที่จ่ายในรูปแบบเป็นตัวเงิน อันนี้ในแง่ผู้มีสิทธิเรียกร้องก็อยากได้มาก ในส่วนผู้จ่ายก็อยากจ่ายน้อย ก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองกันซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา
4. นอกจากต้นทุนการดำเนินธุรกิจตามปกติแล้วดังกล่าวแล้ว บริษัทยังมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบตามกฎหมายให้ สำนักงานคณะกรรม การกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และยังต้องกันเงินเข้ากองทุนการเสี่ยงภัยเพื่อรักษาระดับมาตรฐานสภาพคล่องและความมั่นคงเงินกองทุนของบริษัทประกันภัยตามกฎเกณฑ์ใหม่ตามลำดับขั้นในส่วนนี้มีความสำคัญมากหากมีโอกาสจะนำมาเล่นสู่กันฟังในลักษณะเจาะลึกลงไป
ดูต้นทุนของบริษัทประกันภัยจากตัวอย่างข้างต้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่าบริษัทต้องแบกภาระสูงขึ้นมากโดยเฉลี่ยร้อยละ 5-20 จากฐานเดิม ในขณะที่เบี้ยประกันภัยเรียกเก็บจากลูกค่าได้เพียงปีละ 1 ครั้ง คือตอนทำประกันครั้งแรก หรือตอนต่ออายุกรมธรรม์เท่านั้น ดังนั้นแทบทุกบริษัทจะต้องปรับตัวทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดของบริษัท
สิ่งแรกที่ทุกบริษัททำ คือ ออกนโยบายประหยัด แน่นอนว่าทุกฝ่าย และทุกคนจะเริ่มเครียดจากการทำงานที่มีข้อจำกัดเยอะขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่ถูกสั่งให้รัดเข็มขัด บางฝ่ายบางคนอาจอึดอัดแบบหายใจไม่ออกเลยก็เป็นได้ ในส่วนนี้ยังรวมไปถึงการงดรับประกันภัยบางประเภท ที่มีความเสี่ยงสูง หรืองดต่อประกันกับลูกค้าหรือกลุ่มงานที่ทำให้บริษัทเสียหายในปีที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องกระทบกับยอดรายรับของบริษัท แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจ เมื่อจ่ายมากกว่ารับ ก็ไม่รับเลยดีกว่า
สิ่งต่อมาที่บริษัททำ ก็คือ การเพิ่มรายรับซึ่งจะมีหลากหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่ที่ทำ คือ
1. เพิ่มฐานค่าเบี้ย โดยส่วนใหญ่จะปรับเพิ่มร้อยละ 5 ถึง 30 ตามแต่ฐานลูกค้าและความเสี่ยงของบริษัท ตัวอย่าง บริษัทกรุงเทพประกันภัย ฯ มีการขึ้นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ขนาดเล็ก ประมาณร้อยละ 15 และรถอื่นๆ ประมาณร้อยละ 10-18 บริษัทมิตรประกันภัย ฯ ปรับเพิ่มรถยนต์ขนาดเล็กประมาณร้อยละ 20 รถอื่นๆ ปรับขึ้นเล็กน้อย ซึ่งแทบทุกบริษัทต่างก็ปรับฐานเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นทั้งนั้น
2. กำหนดฐานเบี้ยขั้นต่ำที่บริษัทจะรับประกันสำหรับลูกค่าแรกเข้า เช่น บริษัทประกันคุ้มภัย ฯ จะกำหนดว่ารถประกันแรกเข้า เบี้ยประกันหลังจากหักส่วนลดทุกกรณีแล้วต้องไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท หรือ บริษัทวิริยะประกันภัย ฯ จะรับโอนประวัติจากที่อื่นเพียงแค่ร้อยละ 20 เท่านั้น หรือ บางบริษัทแม้จะโอนประวัติดีมาก็ต้องตรวจสภาพรถก่อนทำประกัน หากมีแผล หรือร่องรอย ต้องไปทำการซ่อมมากก่อนจึงจะรับประกัน
3. ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างทางเลือกให้ลูกค้าที่ต้องการประหยัด เช่น กรมธรรม์ประเภท 3 พลัส หรือประเภท 5 หรือประเภทพิเศษอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดเงื่อนไขพิเศษในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ เช่น ระบุว่าจะรับผิดชอบเฉพาะรถกับรถชนกันเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างอื่นต้องซ่อมรถเอง หรือกำหนดวงเงินรับผิดชอบต่ำเพียง 100,000 บาทเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นกรมธรรม์ปกติจะคุ้มครอง 1 ล้านบาท หรือกำหนดให้ต้องรับผิดชอบเอง 2,000 บาทแรก หากเป็นฝ่ายผิด หรือไม่รับผิดชอบกรณีรถหายเป็นต้น
ทั้งนี้กรมธรรม์ที่เป็นสินค้าใหม่ หรือสินค้าทางเลือกนี้ ลูกค้าต้องทำความเข้าใจและอ่านเงื่อนไขให้ชัดเจนก่อนตัดใจซื้ออย่าดูแค่จ่ายเงินครั้งแรกถูกอย่างเดียว เพราะเวลาผ่านไปถ้ามีเคลมแล้วอาจต้องจ่ายเอง ซึ่งอาจแพงมากกว่ากรมธรรม์ประเภทปกติมากๆ และไม่คุ้มก็ได้
4. การทำโพรโมชัน ลดแลกแจกแถม เพื่อสร้างบรรยากาศชวนซื้อ แถบทุกบริษัทจะทำไปพร้อมๆ กับการออกสินค้าใหม่หรือการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในสินค้าเป็นช่วงเวลา 3-6 เดือน แต่ก็มีบางบริษัททำทั้งปีทั้งชาติก็ขอเตือนให้ระวังบริษัทพวกนี้ไว้ เพราะมักจะซ่อนเงื่อนไขไม่คุ้มครองบางอย่างโดยไม่บอกให้ลูกค้าทราบ ลูกค้าไม่สังเกตหรือตรวจกรมธรรม์ให้ละเอียดก็อาจไม่รู้ จะมารู้อีกที่ก็เมื่อตอนเกิดอุบัติเหตุ และมีความจำเป็นต้องใช้ความคุ้มครองส่วนนั้น ซึ่งมันก็สายเกินไปแล้ว เช่น ไม่คุ้มครองการประกันตัวผู้ขับขี่คดีอาญาถ้าจะให้คุ้มครองต้องจ่ายเบี้ยเพิ่ม หรือ ประกันรถหายให้เพียงร้อยละ 50 เท่านั้น หรือ มีความเสียหายแรก 4,000 บาท เป็นต้น
หลักการของประกันภัย คือ จ่ายเงินซื้อภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตที่ไม่แน่นอน หมายความว่าต้องซื้อภัยนั้นก่อนจึงจะคุ้มครองให้ไม่สามารถจ่ายเงินเพื่อให้คุ้มครองภัยที่เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแล้วผู้เอาประกันภัยจึงต้องรับผิดชอบเองในภัยที่ไม่ได้ซื้อคุ้มครองไว้ อย่างนี้เรียกว่า จ่ายแพงกว่าที่คิด รวมถึงจ่ายค่าโง่ด้วย
พิษภัยในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ค่าโง่ ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่แพงมากต้องระวัง อะไรที่เคยเกิดขึ้นแล้วมันมักจะเกิดขึ้นอีก และอะไรที่เคยผิดพลาดก็จะเกิดผิดพลาดซ้ำ บทเรียนนี้มีให้เห็นอยู่ทุกวัน และมันอาจจะถึงคิวของคุณก็ได้ถ้าไม่ระวัง เราไม่สามารถไว้ใจใครได้ แม้จะเป็นบริษัทใหญ่มีมาตรฐานสูงยังขาดทุนยังมีปัญหา แล้วกับบริษัทที่ไม่มีมาตรฐานจะเป็นอย่างไรในภาวะไม่ปกติเช่นนี้ น่ากลัวใช่ไหมละครับ
ลองมาดูผลกำดำเนินงานในปี 2551 ของบางบริษัทบ้าง บริษัทไทยเศรษฐกิจประกันภัย ฯ งวด 6 เดือนแรก ปีนี้ ขาดทุน 3.11 ล้านบาท บริษัท เทเวศประกันภัย ฯ (DVS)แจ้งผลประกอบการ 6 เดือนแรก กำไรหายวับร้อยละ 69.32 เหตุค่าใช้จ่ายรับประกันภัยพุ่งพรวด บริษัทกรุงเทพประกันภัย ฯ ยอมรับการลงทุนในประเทศจีนปีนี้ขาดทุนต่ออีก ผลพวงแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เตรียมควักจ่ายสินไหมอีกระลอก หลังปีก่อนขาดทุนสินไหมน้ำท่วมไปรอบหนึ่งแล้ว เผยไตรมาสแรก เบี้ยประกันรวมลดลงร้อยละ 2.6 เหลือ 2,138 ล้านบาท ผลพวงจากการขึ้นค่าเบี้ยประกันรถป้ายแดง
บริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ฯ (AIG) ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยอันดับ 1 ของโลกและของสหรัฐ ฯ ประกาศผลประกอบการในไตรมาส 2/51 ขาดทุนถึง 5.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือราว 1.74 แสนล้านบาท ส่งผลให้ AIG มีผลขาดทุนรวมกันทั้งสิ้นมากกว่า 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือราว 5.94 แสนล้านบาท ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา
สุดท้ายยังให้คงย้ำให้ติดตามสถานการณ์บริษัทประกันภัย วันนี้ คปภ.ประกาศบริษัทที่ถูกลงโทษเพิ่มอีกแล้ว จะซื้อประกันภัยกับบริษัทไหนต้องมั่นใจว่าบริษัทนั้นๆมีความมั่นคงและพร้อมให้บริการจริง มีข้อสงสัยปรึกษาสายด่วนประกันภัย โทร 1186
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78940