ชีวิตอิสระ(4wheels)
น้ำตกคลิตี้ อัญมณีที่เปื้อนมลทิน
คลิตี้ เป็นลำห้วยขนาดใหญ่ มีจุดกำเนิดมาจากต้นน้ำในทุ่งใหญ่นเรศวร ตัดผ่านผืนป่าทึบ และแหล่งชุมชนของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง 2 แห่ง คือ หมู่บ้านคลิตี้บน และหมู่บ้านคลิตี้ล่าง โดยไหลไปบรรจบกับลำคลองงู ก่อนที่จะลงสู่เขื่อนศรีนครินทร์ อันเป็นแหล่งกักเก็บน้ำสำคัญของภาคตะวันตก ตลอดเส้นทางที่ไหลลัดเลาะในพงป่า ผ่านการลดหลั่นของหินปูนที่ธรรมชาติบรรจงแต่งแต้มไว้ เกิดกลายเป็นน้ำตกขนาดกลาง ที่มีความอ่อนช้อยงดงาม ท่ามกลางอ้อมกอดของผืนป่าใหญ่
คลิตี้ เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า เสือโทน (เสือหนุ่มที่รักสันโดษ ไม่เข้าฝูง) ชาวบ้านเล่าว่า แต่เดิมทุ่งหญ้าบริเวณนี้ เป็นที่หากินของเสือโทนขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง จนเป็นที่หวาดผวาของชาวบ้านที่ออกหาของป่าชาวกะเหรี่ยงจึงมักเรียกบริเวณนี้ว่า คลิตี้ หรือแปลเป็นไทยได้ว่า ทุ่งเสือโทน เมื่อมีคนเข้ามาอยู่มากขึ้นเสือตัวนั้นก็ได้หายเข้าป่าไปไม่มีใครพบอีกจนถึงทุกวันนี้
หมู่บ้านคลิตี้ล่าง ที่อยู่ติดกับลำห้วยคลิตี้ ตั้งอยู่ที่อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีเรื่องที่เป็นข่าวคราวมากที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คือ ปัญหาแหล่งน้ำปนเปื้อนสารตะกั่วจากโรงแต่งแร่ ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านขึ้นไปประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งปล่อยน้ำหางแร่ตะกั่วความเข้มข้นสูงลงสู่ลำห้วย จากผลสำรวจแหล่งน้ำในลำห้วยคลิตี้บริเวณท้ายโรงแต่งแร่ของกรมควบคุมมลพิษ พบว่าหลายจุดยังมีปริมาณสารตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน
วิถีชีวิตของชาวบ้านคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงแห่งนี้ พึ่งพาลำห้วยมาเป็นเวลาช้านาน พวกเขาใช้ประโยชน์ทั้งดื่มกิน ใช้อาบน้ำ รวมทั้งเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญ แต่จากการเข้ามาของโรงแต่งแร่ เมื่อปี 2510ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เส้นเลือดใหญ่ที่ไหลหล่อเลี้ยงผู้คนมารุ่นแล้วรุ่นเล่า กลับไม่เหมือนเดิม แปรสภาพเป็นลำธารมรณะ ที่นำโรคภัยแปลกๆ เข้ามาสู่คนในหมู่บ้าน ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากมาย แม้สมุนไพรที่เคยใช้บรรเทาโรคมาหลายชั่วคนก็ไม่ได้ผล
ปัจจุบันถึงแม้เหมืองคลิตี้จะถูกปิดลงแล้ว ด้วยสัญญาสัมปทานที่หมดอายุลง แต่เด็กๆ ที่ได้รับสารตะกั่วไปแล้วมีการพัฒนาของสมองช้ากว่าเด็กทั่วไป รวมถึงกล้ามเนื้อและอวัยวะบางส่วนผิดปกติ ความเจ็บป่วยเหล่านี้ยังไม่ได้รับการเยียวยา บทเรียนจากตำราเล่มใหญ่ที่ชาวบ้านได้เรียนรู้ ยังคงมีโจทย์ปัญหาอีกหลายข้อที่ไม่ได้รับคำตอบ ถึงแม้ศาลอุธรณ์จังหวัดกาญจนบุรี จะตัดสินให้โรงแต่งแร่ชดใช้เงิน คืนความสูญเสียให้แก่ชาวบ้าน เป็นจำนวน 29 ล้านบาทก็ตามที
การเดินทางเข้าหมู่บ้านกลางป่า ท่ามกลางสายฝนที่หนักหน่วงของผมครั้งนี้ นอกจากจะเข้าไปชมความงามของน้ำตกคลิตี้แล้ว ยังทำหน้าที่เสมือนสุนัขเฝ้าบ้าน นำเหตุการณ์ที่ได้ผ่านไปพบเห็น และความเป็นอยู่ของชาวบ้านกลุ่มนี้ มาเผยแพร่ผ่านตัวอักษรให้ผู้ที่ไม่เคยรับรู้ได้อ่านกัน
เส้นทางสู่ตัวน้ำตก มีอยู่ 2 เส้น ทางแรกแยกขวามือก่อนถึงหมู่บ้าน มีระยะทางถึงหน่วย ฯ 7 กิโลเมตรส่วนอีกทางจะวิ่งผ่านหมู่บ้าน มีระยะทางถึงหน่วย ฯ 4 กิโลเมตร ตลอดทางจะต้องเจอกับทะเลโคลนและปลักเลน ที่ลึกและเหนียว พร้อมจะทำลายลูกปืนล้อและเฟืองได้ทุกเมื่อ รวมถึงป่าไผ่ที่จะสร้างรอยแผลให้กับสีรถ ทั้ง 2 เส้นทางจึงเป็นที่กล่าวขวัญของนักเดินทาง เพราะหลายคนเคยนำรถเอสยูวีชั้นดีราคาแพง มาสิ้นชื่อที่นี่นักต่อนักแล้ว
เราเดินทางมาถึงหมู่บ้านคลิตี้ล่างตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อนำเครื่องอุปโภคบริโภคมาถวายพระที่วัด เมื่อถวายเสร็จขบวนรถจึงเริ่มทยอยออกจากวัดมุ่งหน้าสู่ตัวน้ำตก ถึงแม้เช้านี้อากาศจะแจ่มใส แต่สภาพของผืนดินก็ยังมีความชุ่มชื้นอยู่ เพราะตลอดคืนฝนได้เทกระหน่ำลงมาชุดใหญ่ แต่ยังไปไม่ถึงไหน รถในขบวนที่มาจากจังหวัดสุพรรณบุรี ฟรีลอคก็ไม่ยอมทำงานเสียแล้ว จึงต้องจอดแก้ไข แต่ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงนักเพียงครึ่งชั่วโมงก็เดินทางต่อได้
เมื่อขบวนเข้าสู่เขตป่าไผ่ รถหลายคันก็เริ่มแสดงอาการตุปัดตุเป๋ให้เห็นกันบ้าง ดินป่าไผ่ จากลื่นนิดหน่อย เริ่มเละเป็นโคลนมากขึ้น เพียงเห็นบ่อแรกก็รู้ได้ทันที ว่าหมดสิทธิ์ที่รถคันไหนจะขึ้นได้
"ไม่ต้องดิ้น ยิ่งดิ้น รถคันหลังยิ่งลำบาก !"
เสียงตะโกนจากช่างจิ๋ว ผู้ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนบอกอย่างนั้น มีทางเดียวที่พวกเราจะผ่านไปได้ คือ ต้องใช้วินช์
แหม...ก็ค่าตัวของวินช์หน้ารถแต่ละคันที่ซื้อมาไม่ใช่ราคาถูกๆ ต้องใช้ให้คุ้มเสียหน่อย
เพียงบ่อโคลนแรกก็ได้เหงื่อกันแล้ว รถในขบวนต้องสังเวยเฟืองหน้าไป 1 คัน จำต้องจอดไว้กลางป่าขืนไปต่ออาจทำให้อย่างอื่นพังไปด้วย ทั้งขากลับจะยิ่งทำให้เหนื่อยกว่าเดิมเป็น 2 เท่า ส่วนรถที่เหลือเดินทางต่อ เราลุยผ่านโคลนบ่อแล้วบ่อเล่า วินช์กันจนมอเตอร์แทบระเบิด แม้ความหิว ความเหนื่อยก็ไม่สามารถทำให้เราย่อท้อได้ ยิ่งอุปสรรคหนักหนาเพียงใด ความร่วมมือร่วมใจยิ่งทวีคูณ บ่ายคล้อยขบวนรถก็หลุดพ้นใต้เงาไม้ เบื้องหน้า คือ สนามหญ้ากว้างที่ติดกับลำธารใส
หลังจากจอดรถเข้าที่เข้าทางแล้ว เสบียงก็เริ่มทยอยลงจากรถ เมื่อทานมื้อเที่ยงเสร็จ เราจึงเดินไปชมความงามของตัวน้ำตก การเดินไปชมน้ำตกที่นี่ต้องเดินตามน้ำ จะผ่านน้ำตกชั้น 3 ก่อน ซึ่งมีระยะทาง 900 เมตร ส่วนชั้น 2 และชั้น 1 มีระยะทาง 950 เมตร และ 1,200 เมตร ตามลำดับ ความสวยงามของน้ำตกหินปูนที่มีความอ่อนช้อย น้ำใสไหลลดหลั่นตามขั้นหิน ยิ่งได้เห็นภาพเบื้องหน้ายิ่งเกิดความเสียดายที่ความงดงามดั่งอัญมณี ของธรรมชาติเหล่านี้ ต้องแปดเปื้อนไปด้วยมลทิน จากเหล่านายทุนที่เห็นแก่ประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง
หลังอาหารเย็นข้างลำห้วย เรานั่งสนทนากับ ลุงอาโพ้ เจ้าหน้าที่ชั่วคราวของที่นี่ จึงได้รู้ว่าทุกวันนี้แม้จะมีข่าวเกี่ยวกับสารตะกั่วปนเปื้อนในลำห้วยแห่งนี้ แต่ทั้งชาวบ้านและลุงอาโพ้ ก็ยังจับสัตว์น้ำมากินอยู่เพราะหากไม่กินก็ไม่รู้จะไปกินอะไร พวกเขาจำต้องยอมรับชะตากรรมจากความมักง่าย และขาดความรับผิดชอบต่อชุมชนของนายทุน โดยที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยง
แม้จะมีปัญหาเรื่องสารตะกั่วปนเปื้อนแหล่งน้ำ แต่ชาวบ้านคลิตี้ล่าง ก็ไม่ได้ทิ้งถิ่นฐานที่พวกเขาอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคน ขณะที่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไรสายน้ำแห่งนี้จะกลับมาบริสุทธิ์ดังเดิม
จึงเป็นที่น่าเสียดาย หากความสวยงามของน้ำตกแห่งนี้ จะกลายเป็นของต้องห้าม เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของพวกนายทุนไม่กี่คน
เรื่องโดย : ขุนเดช หมื่นลี้
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78895