ชีวิตอิสระ(4wheels)
ฝ่าสายฝน ส่งธารน้ำใจ ให้เด็กน้อยผู้ยากไร้ บ้านหินตั้ง
นักเดินทางหลายท่านที่เคยเข้าไปสัมผัสธรรมชาติ และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงที่ซ่อนตัวอยู่ในผืนป่าอนุรักษ์ทุ่งใหญ่นเรศวร บริเวณแนวเขตชายแดนไทย-พม่า คงรับรู้ถึงความขัดสนของเด็กนักเรียน โรงเรียนบ้านหินตั้ง และรู้ถึงความยากลำบากในการเดินทางเข้า/ออกจากโรงเรียนไกลปืนเที่ยงแห่งนี้เป็นอย่างดี
ชาวบ้านหินตั้ง อาศัยอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร มาหลายชั่วอายุคน ก่อนมีการจัดตั้งให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเสียอีก ซึ่งตามกฎแล้ว จะอาศัยอยู่ไม่ได้ แต่ภาครัฐ ฯ จำต้องให้อยู่ต่อไป โดยมีข้อแม้ว่าห้ามบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่ม และเพื่อให้ชาวบ้านที่นั่น อ่านออกเขียนได้ สำนักงานการประถมศึกษา อำเภอสังขละบุรี จึงได้ร่วมมือกับตำรวจตระเวนชายแดน พร้อมทั้งชาวบ้าน ซึ่งนำโดยศุภชัย พนาอุดม จัดตั้งโรงเรียนขึ้น โดยเริ่มแรกใช้ชื่อว่า "โรงเรียนบ้านจะแก" เปิดทำการสอนขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2526 มีนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 46 คน
เปิดทำการสอนได้เพียงแค่ปีเดียว โรงเรียนก็ต้องปิดตัวลง เพราะขาดการสนับสนุนทางด้านต่างๆ จากภาครัฐ ฯ แต่ยังดีที่ได้ความช่วยเหลือจากครูอาสาสมัคร เข้ามาสอนให้จนถึงสิ้นปีการศึกษา 2527 เมื่อถึงปีการศึกษา 2528 จึงได้ย้ายโรงเรียนมาอยู่ในสถานที่ปัจจุบัน ห่างจากที่เดิมประมาณ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งได้รับทุนช่วยเหลือจากภาคเอกชน สร้างอาคารเรียนที่ทำจากไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าแฝก พร้อมทั้งจัดหาโต๊ะ เก้าอี้ และอุปกรณ์การเรียนการสอนที่จำเป็นให้ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนบ้านหินตั้ง" ตามสถานที่ ซึ่งมีหินตั้งเป็นแท่งตรงเด่นตระหง่านอยู่ด้านหน้า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ปัจจุบันสร้างอาคารปูน ยกพื้นสูง แทนที่อาคารไม้หลังเดิม เปิดสอนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนต้น มีนักเรียนทั้งหมดกว่า 300 คน โดยมี ภูมี เชนยะวานิช เป็นผู้อำนวยการ พร้อมครูผู้ช่วย 14 คน และนักการภารโรง 1 คน
การเดินทางในทริพนี้ มีจุดประสงค์เพื่อนำอุปกรณ์การเรียนการสอน อันประกอบไปด้วย คอมพิวเตอร์โสตทัศนอุปกรณ์ สมุด หนังสือ ปากกา ดินสอ เสื้อผ้า และอุปกรณ์กีฬา ไปส่งมอบให้ครู และนักเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้
โดยอุปกรณ์ส่วนหนึ่งได้รับการช่วยเหลือจากโลทัส สาขากาญจนบุรี และอีกส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มผู้ใช้รถ ซูซูกิ แคริเบียน ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2-5 พฤษภาคม 2551 ทางกลุ่มผู้ใช้รถ ซูซูกิ แคริเบียน นำโดย "กลุ่มไร้สังกัด" ได้นำของทั้งหมดเดินทางเข้าไปเพื่อจะมอบให้แก่โรงเรียน แต่ประจวบเหมาะที่ช่วงเวลาดังกล่าว พายุ "นาร์กีส" ได้เข้าถล่มที่ประเทศพม่า ทำให้ด้านทิศตะวันตกของประเทศเรา มีฝนตกหนักถนนที่เจ้าหน้าที่ในเขตทุ่งใหญ่ ฯ ใช้สัญจรอยู่เป็นประจำ เมื่อเจอน้ำฝน จากถนนลูกรังปกติ ก็แปรสภาพเปลี่ยนเป็นเส้นทางที่มีความยากระดับ 3-4 ดาว ทันที รถในขบวนบางคันไม่ได้เตรียมพร้อมมารับมือกับเส้นทางแบบนี้ ทำให้การเดินทางต้องหยุดลงที่หน่วย ฯ ทิคอง และนำของทั้งหมดฝากไว้ที่นั่น
เมื่อของทั้งหมดยังไปไม่ถึงโรงเรียน และใกล้ถึงเวลาที่เด็กเปิดเทอม เลยต้องหาอาสาสมัครนำของเหล่านั้นไปส่งมอบ และอีก 2 อาทิตย์ให้หลัง รวบรวมรถที่จะนำของไปส่งมอบได้ 7 คัน ซึ่งมาจาก จังหวัดสุพรรณบุรี 3 คัน สมุทรสาคร 1 คัน นนทบุรี 2 คัน และคันสุดท้าย คือ รถของคนข่าวมนุษย์เงินเดือนอย่างผม
เย็นวันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม เรามุ่งหน้าสู่เมืองกาญจน์ ฯ จุดนัดหมายของขบวนรถอยู่ที่แยกแก่งเสี้ยนโดยวางแผนว่าจะไปให้ถึงหน่วย ฯ ทินวย ปากทางเข้าทุ่งใหญ่ ฯ ให้ได้ก่อน 02.00 น. แต่ก็มีเรื่องขลุกขลักเกิดขึ้นจนได้ เมื่อเกิดเหตุเจ้าของรถในขบวนคันหนึ่ง ที่เพิ่งเปลี่ยนยางชุดใหม่มา ทำให้รถสั่นสะท้านไปทั้งคัน อาจเป็นเพราะถ่วงตะกั่วมาไม่ดี จึงต้องกลับไปเปลี่ยนใส่ยางชุดเดิมแทนเลยต้องเสียเวลาไปพอสมควร กว่าจะถึงที่หมายก็รุ่งสาง คณะเราจึงมีเวลางีบเอาแรงแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ก่อนที่ด่านจะเปิด
เมื่อจัดการกับอาหารมื้อเช้าเสร็จ ประมาณ 09.30 น. ขบวนรถจึงออกเดินทาง จุดหมาย คือ หน่วย ฯ ทิคอง อยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 15 กิโลเมตร เพื่อไปรับของทั้งหมด แม้พายุ "นาร์กีส" จะผ่านไปแล้วกว่า 2 อาทิตย์ แต่สายฝนก็ยังไม่ได้หมดไปจากฟากฟ้า ตั้งแต่เข้าเขตจังหวัดกาญจนบุรี พวกเราต้องวิ่งฝ่าสายฝนตลอดทาง สภาพทางในป่าทุ่งใหญ่ ฯ ที่ชุ่มฝนมาเป็นแรมเดือน ก็เป็นอย่างที่เราคาดการณ์ไว้ ทั้งดินหนังหมู และดินมันปู ผสมกับหินลอย มีครบทุกรสชาติ
เดินทางถึงหน่วย ฯ มหาราช (ซ่งไท้) ประมาณเที่ยงวัน เมื่อสอบถามสมาชิกในขบวน ถึงเรื่องอาหารกลางวัน ก็ได้ความเห็นว่าไปหยุดพักกันที่ห้วยดงวี่ ห่างจากนี้อีก 12 กิโลเมตร
การเดินทางยังคงมุ่งหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ แม้จะมีติดขัดบ้าง แต่ก็สามารถผ่านพ้นไปด้วยดีทุกคัน ก่อนที่จะถึงห้วยดงวี่ ต้องผ่าน "โป่งตะเลอะเซอะ" ซึ่งจะมีหินลอยเยอะมาก ด้วยน้ำหนักที่บรรทุกกันมาค่อนข้างมาก ทำให้รถจากนนทบุรีแหนบขาดไป 1 คัน จำเป็นต้องจอดเชื่อมแหนบกันกลางป่า และปล่อยให้รถเสบียงไปเตรียมอาหาร รอที่ห้วยดงวี่ ซึ่งเหลือระยะทางอีกประมาณ 2-3 กิโลเมตร
หลังอาหารมื้อเที่ยง เมื่อดูเวลาก็ปาเข้าไปเกือบบ่าย 3 โมง ขบวนรถจึงเริ่มทยอยข้ามห้วย ถือว่าคณะเราโชคดีมาก แม้จะมีฝนตกตลอดการเดินทางก็ตาม แต่น้ำในลำห้วยยังไม่สูงมากนัก เพราะน้ำที่นี่จะขึ้นเร็วมากหากมีฝนตกหนัก เมื่อข้ามไปได้ก็เหลือระยะทางอีกประมาณ 14 กิโลเมตร ก็จะถึงหน่วย ฯ เซซาโว่ที่ค้างแรมของคณะเราในคืนนี้
เดินทางมาได้อีกประมาณ 4 กิโลเมตร ก็เริ่มต้องใช้วินช์กันบ้างแล้ว เพราะเนินยาวก่อนถึงศาลพระฤาษีเป็นดินมันปู มีหินลอยก้อนใหญ่เป็นช่วงๆ ประกอบกับท้องฟ้าก็เริ่มมืด และสายฝนก็ดูจะยิ่งหนักกว่าเดิมต้องเสียเวลาไปกว่า 3 ชั่วโมง กว่าจะนำรถผ่านจุดนี้ไปได้ทั้ง 7 คัน ถึงหน่วย ฯ เซซาโว่ เกือบ 22.00 น.ทุกคนอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ทั้งหิว ทั้งเหนื่อยไปตามๆ กัน แต่เมื่อนึกถึงเด็กนักเรียนที่รอคอยอุปกรณ์เหล่านี้ อุปสรรคที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้เราย่อท้อแม้แต่น้อย
เมื่อจัดการกับคราบดินโคลนตามเนื้อตามตัว และอาหารมื้อเย็น หรือจะเรียกว่ามื้อดึกก็ไม่ผิดนัก เราก็แยกย้ายกันเข้านอน เพื่อเตรียมเอาแรงไว้ลุยต่อกับเส้นทางที่เหลืออีกกว่า 20 กิโลเมตร ก่อนถึงโรงเรียน
เช้าวันใหม่ สายฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมลดราวาศอกให้ หลังจากที่เทกระหน่ำลงมาแบบไม่กลัวว่าน้ำจะหมดฟ้าตั้งแต่วันแรก เราวางแผนกันใหม่ โดยจะใช้รถเพียง 3 คัน บรรทุกของทั้งหมดไปยังโรงเรียนพร้อมเสบียงมื้อเที่ยง เพื่อทำเวลาให้กลับออกมานอนที่เดิมทันก่อนพลบค่ำ ส่วนที่เหลือก็เซทรถ และพักผ่อนเอาแรงรอ
การเดินทางทำเวลาได้เร็วขึ้น อาจเป็นเพราะจำนวนรถน้อยลง ยังไม่ทันเที่ยงวัน เราก็มาถึงโรงเรียนบ้านหินตั้ง เมื่อขนของ ส่งมอบ และรับประทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ คณะเราจึงบอกลาคุณครูอิสระ ถิ่นใหญ่ ครูผู้ช่วย ที่เป็นตัวแทนรับมอบของในครั้งนี้ ระหว่างเดินทางกลับ พบกับกลุ่มเพื่อนนักเดินทาง ที่ใช้รถจักรยานยนต์วิบากเป็นพาหนะประสบอุบัติเหตุ ทำให้ข้อศอกหลุด เราจึงจอดรถเพื่อให้ความช่วยเหลือ พอมีความรู้บ้าง โดยช่วยดึงเพื่อให้ข้อศอกกลับเข้าที่ พร้อมกับทำเฝือกจากไม้ไผ่ ฝีมือช่างจิ๋ว จากนนทบุรี นักประดิษฐ์ครอบจักรวาล ที่ใครเห็นก็ต้องทึ่ง
เราเดินทางกลับถึงหน่วย ฯ เซซาโว่ เกือบ 5 โมงเย็น ขณะนั้นฝนหยุดตกแล้ว เห็นธารน้ำใสไหลผ่านรากไม้ และก้อนกรวดในห้วยเซซาโว่ ก็อดใจไม่ได้ที่จะต้องลงไปเล่นให้ฉ่ำปอด จากนั้นเห็นควันไฟลอยออกจากเตา พร้อมกับกลิ่นหอมกรุ่นของกับข้าว เป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดพวกเราให้ไปหาทีละคนสองคน ไม่นานก็มาพร้อมหน้าโดยมิได้นัดหมาย ข้าวสวยร้อนๆ เริ่มตักใส่จานตามจำนวนคน กับข้าวเลิศรสตอนนี้วางอยู่เต็มโต๊ะ ทุกเมนูที่พ่อครัวทำ รสชาติอร่อยกว่าร้านชื่อดังในป่าคอนกรีทที่เคยไปกิน ผสานกับบรรยากาศรอบด้านที่ธรรมชาติได้บรรจงแต่งแต้ม แม้ภัตตาคารระดับ 5 ดาว ก็มิอาจเทียบได้ เราใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ที่จะทำให้กับข้าวในจานอันตรธานไป หลังจากนั้นก็นั่งสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก่อนแยกย้ายกันเข้านอน
เช้าวันเดินทางกลับ ฝนเริ่มตกอีกครั้ง ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง อาหารเช้าถูกส่งลงกระเพาะอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปจัดของขึ้นรถ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ล้อรถก็เริ่มหมุน เส้นทางตอนนี้แม้แต่จะเดินยังลำบาก ออกจากหน่วย ฯ มาได้เพียง 100 เมตร ก็ได้ออกกำลังกันแล้ว ทั้งวินช์ ทั้งโหน ทั้งดึง และดัน ทำทุกวิถีทางเพื่อให้รถผ่านไปได้ เกือบ 3 ทุ่ม คณะเราจึงมาถึงปากทางเข้าหน่วย ฯ ทินวย โดยมีรถในขบวนจากสมุทรสาครเสียเฟืองหน้าไป 1 ลูก เหลือขับ 2 ล้อ ตั้งแต่ออกจากหน่วย ฯ มหาราช
แม้จะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่สมาชิกทุกคนก็ไม่เคยท้อ พร้อมเดินทางกลับออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และอิ่มบุญ กับความภูมิใจในการปฏิบัติภารกิจลุล่วงอย่างที่ตั้งใจไว้
ขอบคุณ สมาชิกทุกท่านที่ร่วมเดินทางไปสานฝันให้เด็กน้อยในป่าใหญ่
เรื่องโดย : ขุนเดช หมื่นลี้
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78841