ชีวิตคือความรื่นรมย์
เพียงครึ่งศตวรรษผ่านไป
เมื่อเด็กไกลปืนเที่ยงเข้ากรุงเทพ ฯ เพื่อเรียนโรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ในปี 2496 นั้น แม้กระทั่งวงเวียนเล็ก วงเวียนใหญ่ ยังไม่พลุกพล่านด้วยรถยนต์ ซึ่งมากด้วยควันดำ และคาร์บอนดออกไซด์ หรือ คาร์บอนมอนอกไซด์ มากอย่างทุกวันนี้
แม้แต่น้ำในคลองบางหลวง (หรือนัยหนึ่ง ที่แท้ คือ แม่น้ำเจ้าพระยาเดิม ที่ถูกคลองลัดดัดหลังให้กลายสภาพ และฐานะเป็นคลองไป) ยังใสพอมองเห็นปลาที่มาแหวกว่ายหาอาหารได้อยู่ เชื่อหรือไม่ว่า แม้ตึกเรียนของเราจะอยู่ห่างถนน ซอยไม่เท่าไร เราก็พอเปิดหน้าต่างเรียนกันได้ ไม่ค่อยมีเสียงรถมารบกวนเท่าไร
อย่างเช่น บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เรากำลังเคลิ้มด้วยเสียงบรรยายวิชาหลักการสอนของอาจารย์กสิณ วิวิธวร หรือประวัติการศึกษา โดยอาจารย์สังข์ อิศรางกูร ณ อยุธยา หรือวรรณคดีไทย โดยอาจารย์ มรว. ทวีโภค เกษมศรี ฯลฯ (โธ่...ใครจะไปจำได้ ตั้ง 61 ปีมาแล้ว...) เสียงแม่ค้าพายเรือจ๋อมแจ๋มเข้ามาในคลองบางไส้ไก่ ยังร้องเสียงหวานเย้ายวนน้ำลายยามบ่ายได้ชัดเจน
ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน ขนมกล้วย ขนมใส่ไส้...แม่เอ๊ย...
แต่ยังไม่เท่าบ่ายวันหนึ่งที่เสียงค่อนข้างแหบเครือ แต่ก็ฟังชัดเจน
โอ่ง อ่าง กระถาง หม้อ ไห ครก...เน้อ...
หยุดไปสักพัก แล้วดูเหมือนนึกได้ว่ายังบอกสินค้าไม่ครบ จึงเติมประโยคให้เต็มว่า
อ้อ...สากด้วย !!
ทำให้พวกที่นั่งข้างหลัง แอบปิดปากหัวเราะคิกคัก ด้วยมุกขำคลาสสิคของพ่อค้ายอดนักขายภาชนะดิน
แม้ว่าเราไม่อาจลอดรั้วลวดหนามออกมาอาบน้ำในคลองหลังโรงเรียนได้ แต่ก็ไม่อาจกั้นสายตามิให้สอดเสือกออกไปลอบชมสาวสวยที่ลงสะพานท่าน้ำมาอาบน้ำในคลองได้ ซึ่งอาจารย์ผู้ปกครองสั่งนักสั่งหนา อย่าชะล่าใจส่งสายตาไปและเล็มลูกสาวชาวกรุงเป็นดีที่สุด มิฉะนั้นอาจโดนบาทาสัมมนาจากพี่ๆ น้องๆ ผู้ชาย หรือแฟนของสาวแถบนั้นได้ง่ายๆ โดยไม่ผิดกติกา
ครั้นเมื่อเราเรียนจนจบได้รับ ประกาศนียบัตรครูประถมศึกษา หรือ ปป. รุ่นก่อนรุ่นสุดท้าย (รุ่นที่จบปีการศึกษา 2498 นั้น ถูกเรียกว่า ปป. เร่ง เพราะปริมาณครูไม่พออีกมาก กระทรวงศึกษาธิการจึงเร่งให้รุ่นเราเรียนแค่เดือนสิงหาคม แล้วสอบออกไปสอนด้วยวุฒิ ปป. ได้เลย) ข้าพเจ้ากับเพื่อนรักจากไชยา ไม่ได้รับเลือกไปเรียนต่อที่วิทยาลัยวิชาการศึกษา (ประสานมิตร) หรือแม้ที่อักษรศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ที่จุฬา ฯ อย่างเพื่อนๆ เกือบ 20 คน จึงกระเสือกกระสนไปสอบเอง และก็โชคดี (หรือว่าไม่โง่เกินไปนัก) ก็พากันสอบเข้าได้ทั้ง 2 แห่ง
แต่เนื่องจากประสานมิตรประกาศผลสอบและเรียกลงทะเบียนก่อนเสียด้วย เราทั้ง 2 หัวกระเทียมลีบ ต้องแลบกระเป๋าแทบฉีก รวบรวมเงินได้คนละ 360 บาท ไปลงทะเบียนไว้ก่อน โดยวันที่ไปลงทะเบียน ต้องลงเรือยนต์ในคลองแสนแสบ จากปลายถนนเพชรบุรี (ตรงสะพานเฉลิมโลก) เพราะตอนนั้นถนนเพชรบุรีด้วนแค่นั้น เรือแล่นฝ่าน้ำคลอง (ความจริงน่าจะเรียกว่า โคลน จะถูกต้องกว่า) อันดำคล้ำ และกลิ่นคลุ้งจนแสบจมูก สมชื่อคลอง (ที่ครูชาลี อินทรวิจิตร แต่งให้ ชรินทร์ งามเมือง (นันทนาคร) ร้องนั้น ยังไม่กึ่งที่เป็นจริงเลย...) กว่าจะถึงประสานมิตร เรือต้องหยุดเพราะโคลนข้นจนใบพัดเรือทำงานไม่สะดวก เด็กท้ายเรือต้องใช้ไม้ค้ำถ่อช่วย ทุลักทุเลน่าดู
อันเป็นเหตุให้ผู้เขียนกับเพื่อนรักถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการเข้าไปเรียนอาจารย์ ดร. สาโรช บัวศรี อธิการวิทยาลัยว่าเราขอย้ายไปเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬา ฯ ที่เพิ่งประกาศผลสอบทีหลัง หลังจากอ้างเหตุผลต่างๆ กับอาจารย์ขอยืนยันไปเรียนจุฬา ฯ แม้รู้ว่าจบมาแล้ว ได้เงินเดือนไม่เท่าจบวิชาครูจากประสานมิตรก็ตาม ปรากฏว่า ได้เงินคืนเฉพาะค่าใช้ห้องสมุด 100 บาท เท่านั้น ส่วนค่าเรียนและอื่นๆ ต้องบำรุงวิทยาลัยโดยไม่ได้เข้าเรียนแม้แต่วันเดียว ต้องไปหาค่าลงทะเบียนที่จุฬา ฯ ใหม่อีก
360 บาท สบายไป...
ยังจำวันเดือนปีที่เดินเข้าไปในอาณาจักรจามจุรีได้ ตอนนั้นเราพักอยู่หลังโรงเรียนเก่าที่เรารัก เดินตามสะพานไม้ออกไปขึ้นรถเมล์สีน้ำงิน ตลาดพลู-พาหุรัด ที่ป้ายสามแยกวัดใหญ่ศรีสุพรรณ ต่อรถ รสพ.จากพาหุรัด ผ่านสามแยกเจริญกรุงไปสามย่าน ลงป้ายหน้าสถานเสาวภา แล้วเดินไปรอที่ถนนเลียบคลองอรชร (ตอนหลังไม่มีค่ารถ ต้องเดินจากหัวถนนที่บัดนี้เรียก อังรีดูนังต์ ผ่านบริเวณคณะรัฐศาสตร์ หลังคณะวิศวกรรม เข้าประตูหลัง
แต่ตอนนั้นอากาศ (ถ้าไม่มีฝน ต่อให้แดดเปรี้ยงปานหัวแตก แผ่นดินแยกอยู่ครึมๆ ก็เดินได้ เพราะเดินชมแคฝรั่งริมคลองอรชร (ซึ่งบัดนี้เหลือแต่ชื่อในใจเรา) จนได้กลอนหลายบท อย่างบทที่แสดงความรันทดยังกะคนอกหักว่า
แคฝรั่งพรั่งพรูกรูจากกิ่ง ริ้วร่างดิ่งลงคลองล่องลับหาย ดูแล้วแดแทบสิ้นชีวินวาย ไม่ควรหมายมาดูแคให้แพ้ใจ ไม่อยากเห็นก็ต้องเห็นจำเป็นพบ จะหลีกหลบหนีไกลกระไรได้ เพราะพันธะที่ผูกพันทุกวันไป แรงฤทัยรึก็เร้าให้เฝ้ามอง
ชีวิตเอ๋ย ไม่นึกเลยจะระกำถึงซ้ำสอง เคยรอบคอบก่อนมอบใจให้ใครครอง กลับมาหมองเหมือนมีมีดมากรีดแด เจ็บครั้งนี้ที่จะจำสุดสำนึก ด้วยรู้สึกเหลือฉกาจเหนือบาดแผล แม้ไม่ดิ้นสิ้นร่างลงอย่างแค ไหนจะแก้ผลสนิทได้มิดรอย (ไหนจะแก้ชวาล, ชบา 2502)
ปีพศ.นั้น น้ำในคลองอรชร (หรือแม้คลองหน้าบริเวณที่เป็นโรงแรม สยามอินเตอร์ คอนทิเนนทัล) ยังใสพอมองเห็นปลาเล็กๆ ว่ายไล่ฮุบเหยื่อดังเบาๆ แคฝรั่งริมคลองช่อสีขาวพราวพรายคล้ายชุดพยาบาลสาวสวยที่โรงพยาบาลจุฬา ฯ
หรือถนนพญาไทหน้าจุฬา ฯ แต่เดิมมีดงจามจุรีร่มครึ้ม เป็นที่หมายว่าถึงอาณาจักรสีชมพูแล้ว แต่ในช่วงหลังๆ มีโรงซ่อมรถมาเปิดอู่ซ่อมรถอยู่ที่สามย่าน แล้วปล่อยน้ำมันเครื่องไหลลงคลอง น้ำที่เคยใส มีบัวสีต่างๆ งามสล้างกลางคลอง ต้องตายเพราะกากน้ำมันเครื่องสีดำคล้ำ และส่งกลิ่นเหม็น ทั้งๆ ที่ตอนนั้นคำว่า พอลลูชัน (POLLUTION) ยังไม่รู้จักแพร่หลาย จะแปลว่า มลพิษ หรือ มลภาวะเป็นพิษ หรืออะไรดี แต่น้ำในคลองเน่าจนต้องกลบเป็นถนน ให้ซีเมนท์ หรือน้ำมันดินที่เรียกว่ายางมะตอย สะท้อนความร้อนเร่าเผาบรรยากาศให้โลกร้อนมากยิ่งขึ้น
ยังโชคดีอยู่บ้าง ข้างในมหาอาณาจักร ยังมีจามจุรีประสานกิ่งก้านปกป้องให้ความร่มเย็น แก่ประชาคมจุฬา ฯ เหมือนที่อาจารย์ (ต่อมา คือ คุณหญิง) สวาท รัตนวราหะ ที่เคารพยิ่งของผู้เขียน ผู้จบจากอักษรศาสตร์ เคยเล่าถึงภาพพจน์จากเรื่อง กรีน แมนชัน (GREEN MANSION) ทำให้เด็กกำพร้าบ้านนอกนึกอยากเข้าเรียนจุฬา ฯ จนได้วิชาอักษรศาสตร์ทำมาหาเลี้ยงชีพจนทุกวันนี้
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78828