สัมภาษณ์พิเศษ(4wheels)
โยชิสึมิ คุราตะ ประธาน บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด
หลังจาก "ฮันเด" ได้กลับมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองไทย เมื่อปลายปี 2550 ที่ผ่านมาทำให้ตลาดรถยนต์เมืองไทยคึกคักขึ้น "4 WHEELS" สัมภาษณ์พิเศษ โยชิสึมิ คุราตะ ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ถึงแผนงาน และกลยุทธ์การสร้างบแรนด์ ฮันเด ให้ผงาดอีกครั้ง
4 WHEELS : เพราะเหตุใด ฮันเด จึงกลับมาทำตลาดในประเทศไทยอีก ?
คุราตะ : มีเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ 1. ประเทศไทยอุตสาหกรรมรถยนต์ถือว่าเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และ 2. มีความสำคัญเป็นฮับของอุตสาหกรรมรถยนต์ในอาเซียน อีกทั้งการดำเนินธุรกิจ ฮันเดในประเทศไทย รับผิดชอบโดย โซจิสึ คอร์พอเรชัน บริษัททเรดิง ของญี่ปุ่น ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับ ฮันเดเกาหลี โดยเริ่มทำธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2539 จนประสบความสำเร็จอย่างสูงในหลายประเทศ เช่นลาตินอเมริกา และเวเนซูเอลา
4 WHEELS : การกลับมาครั้งนี้ช้าไปหรือไม่ ?
คุราตะ : ไม่ช้า เพราะถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นผู้นำในตลาด และมีพื้นฐานตลาดพอสมควร แต่เราคิดว่าฮันเด มีโอกาสที่จะเริ่มต้น และเติบโตในตลาดนี้ รวมถึงมีสินค้าใหม่ที่จะนำเข้ามาสร้างในตลาดได้
4 WHEELS : วางนโยบายและแผนงานของ ฮันเด ไว้อย่างไร ?
คุราตะ : พื้นฐานสำคัญของนโยบายจะเน้นที่ลูกค้าเป็นหลัก โดยใช้นโยบาย RED CARPET STRATEGY หรือ การปูพรมแดง เพื่อดูแลลูกค้าของเราในฐานะคนพิเศษ ซึ่งลูกค้าจะได้รับความรู้สึกที่เหนือกว่าเมื่อมาเป็นลูกค้าของ ฮันเด รวมถึงจะทำทุกอย่างให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุดไม่ใช่แค่การขาย และบริการ แต่จะรวมถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย
4 WHEELS : อะไรคือจุดแข็งและจุดอ่อนของ ฮันเด ?
คุราตะ : จากผลการสำรวจ เมื่อก่อน ฮันเด เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยใช้กลยุทธ์การแข่งขันเรื่องราคา แต่ไม่ได้ให้สิ่งที่ดีแก่ลูกค้า มีปัญหาเรื่อง การบริการอะไหล่ แต่สำหรับในการกลับมาครั้งนี้จะเน้นพิเศษเรื่องของสินค้า ที่ปัจจุบันมีการลงทุนอย่างมากในเรื่องของการวิจัยและพัฒนา มีดีไซจ์นที่สวยงาม จนเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย ทั้งนี้ตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ตลาดหลัก คือ พิคอัพ แต่ ฮันเด ไม่มีรถพิคอัพ โดยรถของ ฮันเด จะเป็นรถเก๋งที่มีตั้งแต่ขนาดเล็กสุดจนถึงใหญ่สุด รวมถึงรถเอสยูวี ซึ่งปัจจุบัน ฮันเด มีเทคโนโลยีของ ฮันเดและโดดเด่นขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก เหนือกว่าคู่แข่งรถญี่ปุ่น
4 WHEELS : ในประเทศไทยจะเปิดตัวรุ่นใดบ้าง ?
คุราตะ : มี 5 รุ่น คือ โซนาตา ถือเป็นรถเรือธง เนื่องจากคุณภาพของสินค้าเป็นที่ยอมรับของตลาดโลกโดยมีรางวัลต่างๆ รับรองสินค้า ทั้งในด้านความปลอดภัย ดีไซจ์น คุณภาพการผลิต การใช้งาน รุ่นต่อมาคือ คูเป หรือที่รู้จักกันดี คือ ตีบูโรน เป็นรถสปอร์ทที่ขับสนุก มีชีวิตชีวา เหมาะสมเป็นสีสันใหม่ให้ความรู้สึกสดชื่น อีกรุ่นคือ ซันตา เฟ เป็นรถเอสยูวี มีความหลากหลายเรื่องเทคโนโลยี และเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมี เอช-1 รถตู้อเนกประสงค์ เหมาะสำหรับครอบครัว หรือระดับผู้บริหารและ เอช 100 รถกระบะ ที่ออกแบบมาให้มีพื้นที่กว้างขวางในการบรรทุกส่งสินค้า แต่ไม่ได้เน้นในการบรรทุกหนักเหมือนรถพิคอัพ เหมาะสำหรับธุรกิจขนส่งสินค้า อาทิ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
ส่วนรถเล็กที่ยังไม่นำเข้ามานั้น เนื่องจากปัจจุบันรถญี่ปุ่นที่ผลิตในประเทศไทย ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศมากกว่า 80 % แต่ ฮันเด ยังเป็นการนำเข้าชิ้นส่วน ซีเคดี มาจากเกาหลี เรื่องชิ้นส่วนในประเทศไม่สามารถแข่งขันได้กับรถญี่ปุ่น แต่ในอนาคต ด้วยเทคโนโลยี รวมถึงความโดดเด่นของสินค้า คงจะมีการขยายตลาดสู่รถเล็ก แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูการสร้างพื้นฐานของการสร้างบแรนด์ให้เป็นที่ยอมรับและตัวแทนจำหน่ายมีความพร้อมก่อน
4 WHEELS : ปัจจุบัน ฮันเด ในประเทศไทย มีความพร้อมมากน้อยเพียงใด ?
คุราตะ : ปัจจุบัน ฮันเด ประเทศไทย ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันมีพนักงาน 70 คน แต่จะไม่หยุดเพียงเท่านี้เนื่องจากยังมีการคัดสรรบุคลากรที่จะมาร่วมงานกับ ฮันเด อีก คาดว่าคงจะมีถึง 100 คน ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เพื่อมาสนับสนุนความพร้อมของการลงทุนในเรื่องของตัวแทนจำหน่าย และลูกค้า ส่วนการสร้างโชว์รูมและศูนย์บริการภายในสิ้นปีนี้จะมีทั้งหมด 90 แห่ง และจะขยายเพิ่มขึ้นเป็น 9 แห่งเพื่อครอบคลุมพื้นที่หลักในประเทศไทย
4 WHEELS : มีหลักการ และเป้าหมายอย่างไรในการบริหารงาน ฮันเด ในประเทศไทย ?
คุราตะ : อย่างแรก ต้องมองว่าจะทำอย่างไรให้ ฮันเด มีภาพลักษณ์ที่ดี และกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง คือ การคาดหวังเรื่องของยอดขายที่จะต้องเติบโตตามมา และอยากให้ ฮันเดเป็นตัวเลือกของคนไทย คนใช้ ฮันเด มีไลฟ์สไตล์โดยเฉพาะ มีความเป็นตัวตนของลูกค้า เชื่อว่าสินค้าใหม่ ยี่ห้อใหม่ เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้นในการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ที่เลือก
4 WHEELS : คุณจะนำกลยุทธ์ใดมาลบภาพของ ฮันเด ในอดีต ?
คุราตะ : กลยุทธ์จะต้องนำหลายสิ่งมาผสมผสานกัน เช่น ราคา คุณภาพ สินค้า ดีไซจ์น ที่สำคัญต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เร็วที่สุด และดีที่สุด แต่การทำงานต้องทำเป็นขั้นตอน โดยอันดับแรกคือ ต้องทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งจากการศึกษาตลาดที่ผ่านมา ลูกค้าจะถูกทอดทิ้ง มีปัญหาเรื่องอะไหล่ และราคาขายต่อ ดังนั้นทางแก้ไข คือ นำจุดเด่นของสินค้ามาใช้เป็นสื่อในการทำตลาด ซึ่งมีทั้ง เทคโนโลยี คุณภาพ การดีไซจ์น หากเปรียบเทียบกับรถญี่ปุ่นแล้วสามารถแข่งขันกันได้ โดยการสำรวจยังพบว่ารถบางรุ่นของ ฮันเด เหนือกว่ารถญี่ปุ่น ไม่ใช่รถราคาถูกแต่ก็ไม่ใช่สินค้าที่แพง ยังมีลูกค้าที่เลือกซื้อสินค้าเพราะคุณภาพ และราคาเหมาะสม
นอกจากนี้จะเน้นไปที่การบริการ ไม่ได้ขายรถอย่างเดียว พนักงานขายไม่ได้ขายรถเพียงอย่างเดียวแต่เป็นที่ปรึกษาด้านผลิตภัณฑ์ ให้ความเป็นเพื่อน เป็นมิตร เมื่อคุณมีปัญหาอะไร เราจะอยู่เคียงข้างคุณสิ่งเหล่านี้น่าจะทำให้คนที่รู้สึกผิดหวังกับ ฮันเด กลับมามอง และเปิดโอกาสให้เรานำสิ่งเหล่านี้กลับมาสู่ใจลูกค้า
4 WHEELS : ในประเทศไทย ตั้งเป้ายอดจำหน่ายปีนี้ไว้ที่เท่าไร ?
คุราตะ : ในปีนี้ตั้งเป้ายอดจำหน่ายรถ ฮันเด ทุกรุ่นไว้ที่ 3,000 คัน โดยจะเน้นมากที่สุด คือ เอช 100และ เอช-1 ส่วน โซนาตา, คูเป และ ซันตา เฟ เหมือนเป็นรุ่นที่เสริมตลาด เพื่อสร้างความหลากหลายโดยในเรื่องของสินค้าใหม่วางแผนไว้ว่าจะมีรถรุ่นใหม่เปิดตัวประมาณ 2-3 รุ่น/ปี
4 WHEELS : ตั้งเป้าความสำเร็จของ ฮันเด ในไทยไว้กี่ปี ?
คุราตะ : สิ่งแรก คือ การวางพื้นฐานแรก สำหรับการสร้างบแรนด์ ใช้ระยะเวลา 3 ปี ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ตัวเลข ในระยะ 3 ปีแรก แต่เป็นความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้ามากกว่า การขายที่จะสร้างตัวเลขยอดขายง่ายมาก เพียงแค่ลดราคา แต่จะเป็นการทำงานระยะสั้น สิ่งที่ต้องการ คือ ลูกค้ามีความรู้สึกที่ดี ใส่ใจ และรัก ฮันเด
4 WHEELS: คุณอยากให้รัฐบาลมีการปรับปรุงอุตสาหกรรมรถยนต์ในด้านใด ?
คุราตะ : ในแง่ของปัจจัยในการสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย รัฐบาลมีการสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะการเชิญชวนให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยทำตลาดในประเทศ และส่งออก แต่ยังมีการสนับสนุนในเรื่องของซัพพลายเรื่องชิ้นส่วน ทำให้คุณภาพของรถยนต์ และสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยมีคุณภาพโดดเด่นกว่าประเทศอื่น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยดีมากและเป็นการสร้างพื้นฐานให้อุตสาหกรรมรถยนต์
อีกส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยเรื่องราคารถยนต์ในประเทศไทย เทียบกับอัตรารายได้เฉลี่ยต่อคน เทียบกับประเทศอื่น ราคารถยนต์ค่อนข้างสูง ถ้ามีการพิจารณาเรื่องพิกัดอัตราภาษีให้เหมาะสม คิดว่าประชาชนน่าจะสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้มากกว่านี้ และแน่นอน ตลาดรถยนต์เมืองไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ/ถาวร พรมพิทักษ์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78412