DIY...คุณทำเองได้
ดูแลรถอย่างไรให้ พอเพียง
เรื่องของการดูแลรักษารถยนต์เป็นเรื่องที่คุยกันไม่จบไม่สิ้น แต่ละคนต่างมีความคิดที่แตกต่าง
กันออกไป บางคนได้ข้อมูลมาจากหลายแหล่ง แต่ไม่ค่อยมีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน เป็นผลให้เกิด
อาการงง หรือปฏิบัติกันแบบผิดๆ ส่วนบางเรื่องก็ก่อให้เกิดรายจ่ายที่เกินจำเป็น ดังนั้นในฉบับนี้
เราจะมาคุยกันถึงเรื่องของการดูแลรักษารถยนต์อย่าง พอเพียง กัน
การดูแลรักษาให้พอเพียง เหมาะกับงบประมาณที่ควรจ่ายออกไป หลายเรื่องอาจขัดต่อ
ความรู้สึก และความเชื่อที่เคยมีมา แต่เชื่อได้เลยว่าเรื่องต่างๆ ที่เราจะแนะนำคุณต่อไปนี้
เป็นเรื่องเชิงวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ และจะทำให้คุณไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเกิน
ความจำเป็น มาดูกันครับว่าอะไรบ้างที่ควรหรือไม่ควรปฏิบัติ
1. วอร์ม-อัพ และวอร์ม-ดาวน์
การอุ่นเครื่องยนต์เพื่อให้ถึงอุณหภูมิการใช้งาน ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะเครื่องยนต์
ประกอบด้วย โลหะหลายชนิดด้วยกัน โลหะที่ต่างชนิดกันออกไปนั้น ก็มีคุณสมบัติที่ต่างกัน
โดยเฉพาะเรื่องการขยายตัวเมื่อเกิดความร้อน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์
และอายุการใช้งานมากทีเดียว วิศวกรทราบถึงปัญหาเหล่านี้ดี ฉะนั้นการออกแบบชิ้นส่วนต่างๆ
ที่ต้องรับความร้อนโดยตรง จะต้องเผื่อระยะเอาไว้ให้โลหะบางชิ้นสามารถขยายตัวให้ฟิทพอดี
กับอีกชิ้นส่วนหนึ่ง เมื่อเครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิใช้งาน
ฉะนั้นการอุ่นเครื่องยนต์ให้ถึงอุณหภูมิใช้งานจึงมีความสำคัญ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด
การสึกหรอ อันเนื่องมาจากการหมุน หรือการเสียดสีด้วยความเร็วสูง
การอุ่นหรือการวอร์มเครื่องยนต์ให้ถึงอุณหภูมิใช้งาน แต่เดิมเรามักจอดรถติดเครื่องไว้เฉยๆ
ซึ่งเป็นต้นเหตุของความสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น และยังก่อให้เกิดมลพิษจากการเผาไหม้ที่
ไม่หมดจด ทำให้เกิดมลพิษสูง เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพวกที่จอดติดเครื่อง
หน้าบ้าน ควันและไอเสียจะเล็ดลอดเข้ามาในบ้าน ทำให้คนในบ้านมีสุขภาพเสื่อมโทรมเร็ว
และสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ
การอุ่นเครื่องยนต์ยังเป็นเรื่องที่จำเป็นอยู่ แต่ควรเปลี่ยนวิธีการเสียใหม่ให้เหมาะสมขึ้น
โดยหลังจากสตาร์ทเครื่องแล้ว และไฟเตือนต่างๆ บนหน้าปัดดับหมด รถก็พร้อมเคลื่อนที่ได้
แต่ต้องเล่นช้าๆ สักครู่ เพื่อให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิใช้งาน ตรงนี้เองจะค้านกับความรู้สึก
ที่ว่าจะทำให้เกิดความสึกหรอมากขึ้น แต่การเคลื่อนที่ช้าๆ นั้น จะทำให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิ
การใช้งานเร็วขึ้น โดยไม่ส่งผลต่อการสึกหรอ
ถ้าอยากรู้ว่าการขยายตัว หรือหดตัวของโลหะต่างชนิดกันเป็นอย่างไร ง่ายๆ หลังจากขับรถ
ติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง หรือขับต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงมาตลอด หลังจากดับเครื่องแล้ว
ให้เปิดฝากระโปรงเพื่อฟังเสียงแปลกๆ ในห้องเครื่อง การดับเครื่องในทันที โดยที่ความร้อน
ยังสะสมอยู่สูงมาก เราจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ลั่นดังเปรี๊ยะๆ เป็นระยะ
นั่นหมายความว่า นอกจากการ วอร์ม-อัพ เครื่องยนต์ก่อนออกตัวแล้ว การ วอร์ม-ดาวน์
เครื่องยนต์ก่อนดับเครื่อง ก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน เพราะหลังจากดับเครื่องยนต์แล้ว
ระบบระบายความร้อนจะไม่ทำงาน น้ำจะไม่ไหลเวียน บางยี่ห้อพัดลมไฟฟ้าอาจจะทำงาน
ต่อระยะเวลาสั้นๆ แต่ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เมื่อดับเครื่อง อุณหภูมิจะสูงขึ้นอีกราว 20-25
องศาเซลเซียส และอาจสูงกว่านั้น ถ้าขับแช่มาด้วยรอบเครื่องสูงๆ
เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น โลหะก็จะขยายตัวมากขึ้น นานเข้าจะทำให้เกิดความเครียดขึ้นกับชิ้นส่วน
ภายใน การสึกหรอเร็วกว่าปกติก็จะตามมา โดยเฉพาะกับเครื่องยนต์เทอร์โบ การอุ่นเครื่อง
ก่อนดับที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่การอุ่นเครื่องอยู่กับที่ เพราะจะก่อปัญหาเช่นเดียวกับการอุ่นเครื่อง
ตอนเช้า วิธีการ คือ ก่อนถึงที่หมายสักประมาณ 10 นาที หรือระยะทางสัก 10-15 กม.
หลังจากที่อัดเครื่องยนต์มาเต็มที่ ให้ลดความเร็วลง โดยวิ่งความเร็วในรอบเครื่องยนต์ต่ำๆ
เพื่อให้ระบบระบายความร้อนทำงานได้อย่างเต็มที่ เครื่องยนต์จะได้มีการระบายความร้อนที่
สะสมอยู่ออกไปจนอยู่ในระดับที่เหมาะสม เมื่อถึงที่หมายก็สามารถดับเครื่องยนต์ได้ทันที
โดยเฉพาะรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล แบบคอมมอนเรล ที่มีเทอร์โบ
การลดอุณหภูมิเครื่องยนต์ด้วยวิธีนี้ จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้ดีกว่าการใช้เทอร์โบไทเมอร์
ที่ตั้งไว้ 3-5 นาทีเสียอีก เพราะระยะเวลาขนาดนั้นไม่พอในการลดความร้อนสะสมใน
ชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์หรอก
2. การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมากในปัจจุบัน กลับไม่สามารถช่วยเปลี่ยนความคิด และความเชื่อเก่า
ในเรื่องของการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้เลย หลายๆ ท่านยังเชื่อแบบฝังหัวว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
ทุกๆ 3,000 กม. สำหรับการใช้งานในเมือง หรือ 5,000 กม. สำหรับการใช้งานทางไกลเป็นประจำ
นั่นถูกต้องครับ แต่เป็นสมัยเมื่อสัก 20-30 ปีที่แล้ว เนื่องจากเรื่องโลหะวิทยายังล้าสมัย
และเทคโนโลยีในการผลิตน้ำมันหล่อลื่นก็ยังไม่พัฒนาเท่าวันนี้ ปัจจุบันความก้าวหน้าของ
โลหะวิทยา และการผลิตน้ำมันหล่อลื่นก้าวหน้าไปมาก เราก็ควรจะเปลี่ยนทัศนคติกันให้
ทันโลกได้แล้ว
น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา ในปัจจุบันนั้นมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเร็วเกินไป นอกจากทำให้สิ้นเปลืองแล้ว ยังส่งผลกระทบ
ต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากน้ำมันเครื่องเก่าเป็นขยะพิษ ที่ไม่ย่อยสลายตามธรรมชาติ
ต้องผ่านกระบวนการทำลายอย่างถูกต้อง
เรื่องง่ายๆ เพียงแค่ดูจากฉลากข้างบรรจุภัณฑ์เป็นสำคัญ บางยี่ห้อจะระบุไว้ว่าให้เปลี่ยนที่
ระยะทาง 10,000 กม. หรือทุก 6 เดือน ก็ให้เปลี่ยนตามนั้น หรือถ้าเข้าศูนย์บริการก็ให้ยึดระยะ
ในคู่มือประจำรถ ซึ่งรถส่วนใหญ่จะกำหนดมาอย่างชัดเจนว่าให้เข้ารับบริการตามระยะทาง
หรือเวลาที่กำหนด แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน เช่น ทุกๆ 10,000 กม. หรือทุก 6 เดือน
ซึ่งมักจะมีหมายเหตุเอาไว้ว่า ถ้าคุณใช้งานหนัก หรือบรรทุกหนักกว่าปกติ รวมทั้งการใช้งาน
ในพื้นที่อื่นๆ เช่น ฝนตก และมีความชื้นสูง รวมถึงพื้นที่ที่มีความร้อนสูง หรือมีฝุ่นมาก
ให้เข้ารับบริการเร็วกว่าปกติ ก็ต้องยึดตามคู่มือเป็นสำคัญ เท่านี้ก็จะทำให้การใช้งานเต็ม
ประสิทธิภาพ และไม่ต้องจ่ายเงินเกินความจำเป็น
3. ระบบระบายความร้อน
เจ้าของรถหลายคนให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง แต่มักไม่ได้สนใจในเรื่อง
ของระบบระบายความร้อนสักเท่าไร และหลายคนก็มัวแต่ดูในเรื่องของระดับน้ำ แต่ลืมให้
ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างฝาหม้อน้ำ
ส่วนใหญ่ที่มักมองข้ามเพราะเวลาเปิดออกมาก็จะดูแต่น้ำในระบบอย่างเดียว ไม่ค่อยจะมีใคร
ดูสภาพของตัวฝาหม้อน้ำเลยว่าเป็นอย่างไร พบบ่อยๆ ที่ฝาหม้อน้ำยังอยู่ในสภาพดี แต่สปริงล้า
ทำให้น้ำดันออกผ่านฝาหม้อน้ำได้ง่ายกว่าปกติ เมื่อน้ำดันออกมากๆ อาจทำให้ถังพักน้ำล้น
เวลาเครื่องยนต์เย็น สุญญากาศในเครื่องยนต์จะดูดน้ำจากถังพักกลับเข้าสู่ระบบ
ปรากฏว่าตอนดูดกลับนั้นมีแต่ฟองอากาศ ผลที่ตามมา ก็คือ ความร้อนของเครื่องยนต์ขึ้นสูง
ซีลยาง คือ อีกชิ้นส่วนหนึ่งที่ต้องดูแลให้ดี เมื่อพบร่องรอยการฉีกขาด หรือปริแตกของยาง
ฝาหม้อน้ำ ควรเปลี่ยนทันที ราคาไม่แพง ราว 200 บาทไม่เกินนั้น แต่สามารถป้องกันความร้อน
ขึ้นอย่างได้ผล
ในระบบระบายความร้อนมีอีกจุดหนึ่งที่ก่อปัญหาได้มาก นั่นก็คือ ปั๊มน้ำ ถ้าเป็นรถที่วางเครื่อง
ตามขวาง จะตรวจสอบยาก เพราะมีมุมอับเยอะ เมื่อปั๊มน้ำเกิดการรั่วซึม จะมีร่องรอยให้เห็น
บริเวณเสื้อสูบ จะเป็นคราบน้ำที่มีสนิมแดงเป็นทาง ไม่ก็เป็นสารเรืองแสงสีเขียวๆ ที่ผสมอยู่
ในน้ำยาคูลแลนท์ สำหรับช่วยควบคุมอุณหภูมิของเครื่องยนต์ เพื่อให้สังเกตเห็นง่ายเวลารั่วซึม
เมื่อพบคราบดังกล่าว แสดงว่าปั๊มน้ำใกล้จะหมดอายุ มักเป็นสาเหตุของอาการน้ำหายเล็กน้อย
แต่หาจุดรั่วซึมไม่เจอ
4. แบทเตอรี
ปัจจุบันแบทเตอรีมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมราว 30-40 % ดังนั้นต้องดูแลดีๆ เพื่อให้คุ้มค่า
มากที่สุด ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่า จะช่วยคุณประหยัดเงินอย่างเดียวนะครับ เพราะจะเป็น
การช่วยลดปริมาณขยะพิษ เมื่อต้องมีการเปลี่ยนแบทเตอรีด้วย เพราะน้ำกรดที่อยู่ภายใน
และตะกั่วที่ใช้ ล้วนแต่เป็นตัวการที่จะทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม การดูแลรักษาจึงเป็น
สิ่งสำคัญมากในการยืดอายุการใช้งานของแบทเตอรี
หมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้น้ำกลั่นที่มีคุณภาพเท่านั้น เพื่อเป็น
การรักษาระดับความเข้มข้นของน้ำกรดให้คงที่ ระดับน้ำกรดภายในเซลล์นั้นต้องอยู่สูงกว่า
แผ่นธาตุประมาณ 1 เซนติเมตร หมั่นทำความสะอาดขั้วของแบทเตอรีอยู่เสมอ เพราะคราบ
ขี้เกลือ ที่เกาะอยู่ที่ขั้วของแบทเตอรี จะทำให้กระแสไฟเดินไม่สะดวก ส่งผลให้ระบบไฟฟ้า
อื่นๆ ทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพด้วย
การทำความสะอาด ใช้น้ำร้อนราดที่ขั้วแบทเตอรีโดยตรง แล้วถอดขั้วแบทเตอรีออกมาขัดเบาๆ
ด้วยกระดาษทราย เพื่อขจัดคราบสกปรกต่างๆ ออก แต่ไม่ต้องขัดแรงมาก ทั้งขั้วที่ตัวแบทเตอรี
และขั้วของสายไฟ จากนั้นใช้จาระบีป้ายบางๆ ทั้ง 2 ด้าน ก่อนจะประกอบกลับเข้าไป
เพราะจาระบีจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดคราบเกลือได้ง่าย และหมั่นตรวจสอบความตึงของสายพาน
ไดชาร์จ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ สำหรับรถเก่า ควรตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงาน
ของไดชาร์จด้วย เพราะการทำงานที่ผิดปกติของไดชาร์จ จะส่งผลให้แบทเตอรีเสื่อมสภาพ
ก่อนเวลาอันควร
5. ใบปัดน้ำฝน
การดูแลและรักษาสภาพใบปัดน้ำฝน ไม่ควรยกก้านปัดน้ำฝนค้างไว้ โดยเฉพาะในหน้าร้อนแบบนี้
เพราะคนทั่วไปคิดว่ามันจะทำให้ใบปัดน้ำฝนเสื่อมเร็วกว่าปกติ ซึ่งมันก็จริงส่วนหนึ่ง แต่ที่ร้ายแรง
กว่านั้น มันยังทำให้สปริงของก้านปัดน้ำฝนล้า ทำให้ไม่สามารถกดใบปัดน้ำฝนได้แนบสนิท
กับผิวกระจก ผลที่ตามมา คือ การปัดน้ำฝน หรือการกวาดน้ำฝนออกจากผิวจะทำได้ไม่ดี
และเมื่อใช้ความเร็วสูงๆ ลมที่มาปะทะกับกระจก จะทำให้ก้านปัดน้ำฝนยกตัวขึ้นจากแรงลมปะทะ
ยิ่งทำให้ใบปัดน้ำฝนไม่สามารถกวาดน้ำฝนที่ผิวกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นไม่ควรที่จะ
ยกก้านปัดน้ำฝนค้างเอาไว้ เพราะกลัวใบปัดจะเสื่อมสภาพเร็วเด็ดขาด
ใบปัดน้ำฝนนั้นราคาไม่แพง สามารถเปลี่ยนได้ทุกปี เพื่อยืดอายุการใช้งานของกระจกหน้า
เนื่องจากอากาศบ้านเราร้อนมาก ใบปัดน้ำฝนจะเสื่อมสภาพเร็วอย่างน่าใจหาย อย่าไปเสียดาย
กับใบปัดน้ำฝนราคาไม่กี่ร้อย เพราะกระจกหน้าบานหนึ่งราคาครึ่งค่อนหมื่นเลยทีเดียว
และก้านปัดน้ำฝนก็แพงกว่าใบปัดเยอะมาก ของอย่างนี้ บางทีก็เข้าทำนอง เสียน้อยเสียยาก
เสียมากเสียง่าย ได้เหมือนกัน
6. ยาง
แรงดันลมยาง ไม่ว่าจะแข็งไป หรืออ่อนไป ก็ไม่ดีทั้งนั้น ถ้าแข็งไป ลดความสิ้นเปลืองได้
แต่ผลที่ตามมา ก็คือ เรื่องของความกระด้าง ถ้าลมยางอ่อนไป ปัญหาที่ตามมา คือ เรื่องของ
ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง การสึกหรอของดอกยางที่ผิดปกติ ปั๊มพวงมาลัยเพาเวอร์ก็ต้อง
ทำงานหนัก เมื่อปั๊มทำงานหนัก เครื่องยนต์ก็ต้องทำงานหนักตามไปด้วย
ไม่ว่าจะแข็ง หรืออ่อนเกินไป การตรวจ/เติมลมยาง ต้องทำในขณะที่ยางยังเย็น ส่วนเรื่องแรงดัน
ลมยางนั้น ให้ดูจากคู่มือของรถแต่ละรุ่นเป็นหลัก และในการเดินทางไกลนั้น ควรเพิ่มแรงดัน
ลมยางอีกสัก 3-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว และต้องทำการตรวจสอบทุกๆ 1-2 สัปดาห์ การตรวจสอบ
ลมยางเป็นประจำ ช่วยให้การสึกหรอของยางเป็นไปอย่างปกติ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
การสลับยางตามระยะที่เหมาะสม เป็นอีกทางหนึ่งในการยืดอายุการใช้งาน ควรสลับยางทุกๆ
6 เดือน หรือระยะทางประมาณ 10,000 กม. เนื่องจากรถที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อตลอดเวลา
ล้อที่มีการขับเคลื่อนจะมีการสึกหรอเร็วกว่าปกติ จึงจำเป็นต้องสลับให้มีการสึกหรอที่เท่ากัน
นอกจากนี้ยังต้องตรวจสอบหน้าสัมผัสของดอกยางด้วยว่ามีการสึกหรอผิดปกติหรือไม่
เพราะการสึกหรอที่ผิดปกติ จะทำให้ยางมีอายุการใช้งานสั้นลง เมื่อเห็นการสึกหรอที่ผิดปกติ
ควรเข้าตรวจสอบโดยเร็ว เพราะมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นได้
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ หลายอย่างอาจจะขัดต่อความรู้สึกที่เราคุ้นเคยมานาน แต่ถ้ามีการปรับเปลี่ยน
ทัศนคติใหม่ จะช่วยให้คุณสามารถใช้เงินในการดูแลรักษารถยนต์อย่างเหมาะสม โดยไม่มีคำว่า
สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ รวมถึงยังเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าอีกทางหนึ่งด้วย
ที่กล่าวไปทั้งหมด ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิด แต่มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ ที่สำคัญก็คือ
ช่วยให้การบริหารเงินในการดูแลรักษา ยืดอายุการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เรื่องโดย : พหล ฯ 30
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : DIY...คุณทำเองได้
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78249