โลกติดล้อ
นิสสัน กะ ไครสเลอร์
หากการรวมเอาชื่อ นิสสัน กับ ไครสเลอร์ เข้าไว้ด้วยกัน เปรียบได้เหมือนการเสิร์ฟอาหารมื้อเย็นด้วยปลาดิบบวกกับแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งไม่น่าอร่อย และไม่น่าจะลงตัว แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ที่ปลาดิบกับแฮมเบอร์เกอร์ จะต้องอยู่ร่วมโต๊ะกันให้ได้ เพราะในยุคปัจจุบันนี้ การรวมตัวระหว่างกิจการใหญ่ๆ หลีกหนีไม่พ้นที่จะเกิดขึ้น เหมือนสายการบินอเมริกัน นอร์ธเวสต์ แอร์ไลน์ส รวมตัวกับสายการบินในประเทศของ อเมริกา ยูไนเทด แอร์ไลน์ส ไม่มีผิด
นั่นเพราะการรวม หมายถึง การลดต้นทุนมหาศาล เช่น ต้นทุนด้านการทำวิจัยพัฒนา ต้นทุนด้านบัญชี การจัดซื้อ และการทำการตลาด
เมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา ทั้ง นิสสัน และ ไครสเลอร์ ประกาศว่าจะผลิตรถยนต์ให้แก่กันและกัน เห็นไหมว่า ผลดีเริ่มเกิดขึ้นแล้ว พอมองเห็นภาพว่า ถ้า นิสสัน ไม่มีโรงงานผลิตอยู่ที่ไหน แต่ ไครสเลอร์ มีอยู่ที่นั่น ก็ให้ ไครสเลอร์ ผลิตให้ หรือ นิสสัน หันมาผลิตให้ ไครสเลอร์ บ้าง ก็จะลดค่าใช้จ่ายด้านการสร้างโรงงานใหม่ และเครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งแรงงาน ทำให้สามารถบุกตลาดในแถบนั้นได้อย่างรวดเร็วขึ้น สมัยนี้ความเร็วเป็นเรื่องที่ทำให้แพ้ชนะกันได้
ในปี 2553 ไครสเลอร์ จะเริ่มผลิตรถกระบะให้กับ นิสสัน โดยใช้รูปแบบที่ นิสสัน เป็นคนออกแบบ และในขณะเดียวกัน โรงงานของ นิสสัน ที่ญี่ปุ่น ก็จะเริ่มผลิตรถคอมแพคท์ให้ ไครสเลอร์ เพื่อส่งไปขายในตลาดอเมริกาใต้ เพราะว่า ไครสเลอร์ ไม่มีความชำนาญเรื่องรถเล็ก ซึ่งเป็นตลาดที่มีความสำคัญ
และกินส่วนแบ่งตลาดรถใหญ่เข้าไปทุกขณะ
จากการรวมตัว เพื่อจะแก้ปัญหาจุดอ่อนที่ทั้ง 2 บริษัทมี จุดอ่อนที่ว่านี้ คือ การที่ นิสสัน ไม่ประสบความสำเร็จกับรถกระบะ ไททัน (TITAN) ที่วางตลาดเมื่อปี 2546 ส่วน ไครสเลอร์ ก็ไม่ประสบความสำเร็จกับรถคอมแพคท์เช่นกัน และเป็นรองรถคอมแพคท์ของ ฮอนดา ซีวิค กับ โตโยตา โคโรลลา
ก่อนหน้านี้เหล้าสาเก เคยขึ้นโต๊ะร่วมกับไวน์บอร์โดมาแล้ว นั่นก็คือ เรอโนลต์ ของฝรั่งเศส ได้รวมกับ นิสสัน ของญี่ปุ่น โดยมี การ์โลส โกสน์ (CARLOS GOSN) เป็นผู้กุมบังเหียน ซีอีโอ โกสน์ ผู้นี้ สามารถกู้วิกฤติของ นิสสัน ขึ้นมาได้ เขาเคยมาเมืองไทย และพบปะสื่อมวลชนไทยมาแล้ว หลังจากนั้นเขาก็เริ่มคิดอ่านที่จะหาคู่พันธมิตรที่มีรากอยู่ในอเมริกาเหนือ ซึ่งมีให้เลือกไม่มาก เพราะตัวเล่นก็มีอยู่เพียง จีเอม/ฟอร์ด และ ไครสเลอร์ เท่านั้น
ผลก็เลยมาลงเอยที่ ไครสเลอร์
เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว เซอร์เบรัส แคพิทอล แมเนจเมนท์ (CERBERUS CAPITAL MANAGEMENT) ได้เข้ามาซื้อหุ้นของ ไครสเลอร์ ไปถึง 80 % และไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเก็บหุ้นตัวนี้ไว้ตลอดกาล
ผู้บริหารของทั้ง 2 ฝ่าย แถลงออกมาว่า ข้อใหญ่ใจความของการรวมตัวในครั้งนี้ เป็นไปเพื่อจับมือกันทางด้านการผลิต มากกว่าจะถึงขนาดรวมหุ้นกัน ทั้งรองประธานของ ไครสเลอร์ ทอม ลาเซอร์ดา (TOM LASORDA) และรองประธานอาวุโสของ นิสสัน ในอเมริกาเหนือ โดมินิไคว์ โธร์มานน์ (DOMINIQUE THORMANN) พูดคล้ายๆ กันแบบนั้น
เราพร้อมเสมอที่จะช่วยกันในเรื่องของผลิตภัณฑ์
แล้ว นิสสัน ก็เริ่มเตรียมการผลิตรถ เวอร์ซา ซับคอมแพคท์ (VERSA SUBCOMPACT) ของ ไครสเลอร์สำหรับตลาดอเมริกาใต้
อย่างไรก็ดี เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ทั่วๆ ไป ที่ต้องมีจังหวะ และขั้นตอน ใช่ว่าความสัมพันธ์ของทั้ง 2 จะคงหยุดอยู่เพียงเท่านี้ นี่อาจเป็นการชิมลางเพื่อปูทางไปสู่ความสัมพันธ์ที่จะกระชับแน่นยิ่งขึ้นในวันข้างหน้า เมื่อความไว้วางใจ และความสนิทสนมกลมกลืน รู้เขารู้เรา มีมากขึ้น นอกจากนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง นี่ยังเป็นการตัดไม้ข่มนามของ นิสสัน
การ์โลส โกสน์ กล่าวว่า ไครสเลอร์ ผูกสมัครหมั้นหมายกับ นิสสัน แล้ว ใครอย่าหาญกล้าก้าวเข้ามา วันหนึ่งข้างหน้าสองเราจะแต่งงานกัน
นับเป็นก้าวที่ล้ำลึก และได้รังวัดไกลของ นิสสัน
ในขณะเดียวกัน สัมพันธภาพเช่นนี้ ก็เปิดโอกาสให้ ไครสเลอร์ มีกิ๊กได้ ไครสเลอร์ จับมือกับ โฟล์คสวาเกน ผลิตมีนีแวนให้กับค่ายนี้ นอกจากนั้นยังมีสัญญาจะผลิตรถให้กับ เชอร์รี ออโทโมบิล (CHERRY AUTOMOBILE) ของจีนอีกด้วย
ไครสเลอร์ ไม่ได้ตัดโอกาสตัวเองที่จะคบหาดูใจกับจีน หรืออินเดียที่กำลังมาแรงในอุตสาหกรรมรถยนต์
ไครสเลอร์ เองก็คิดดีแล้วว่า การร่วมมือกับ นิสสัน ครั้งนี้ จะทำให้เสริมจุดอ่อนบางอย่างของตัวเองที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ เรื่องจะขายหุ้นบริษัทหรือไม่ เป็นเรื่องของอนาคต จุดอ่อนที่ว่านี้ เช่น จุดอ่อนเรื่องการที่ยอดขายทั่วโลกไม่มากพอที่จะต่อรองเรื่องชิ้นส่วนต่างๆ และวัตถุดิบ เหมือนเช่น จีเอม หรือ โตโยตา และอีกจุดอ่อนก็คือ การที่ไม่มีเทคโนโลยีสำหรับอนาคตอย่างไฮบริด ซึ่งใช้ไฟฟ้าร่วมในการขับเคลื่อน เทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลสะอาด และเทคโนโลยีรถเล็ก
ไครสเลอร์ ได้เทคโนโลยีดีเซลสะอาดจากบริษัทแม่เดิม คือ ไดมเลร์ และได้ลงทุนเรื่องไฮบริดร่วมกับ จีเอม
ตอนนี้ก็มุ่งหน้าเสริมใยเหล็ก สร้างความร่วมมือกับ นิสสัน ไปก่อน ฝ่ายวิศวกรก็ฝึกปรือการใช้โครงสร้างรถกระบะของ ไครสเลอร์ แล้วเอาสไตลิงตัวถังของ นิสสัน สวมลงไป ส่วน ไครสเลอร์ ก็ออกแบบรถเก๋งครอบลงไปในโครงซับคอมแพคท์ของ นิสสัน
เมื่อคราวที่ เรอโนลต์ กับ นิสสัน จับมือกัน ได้ใช้เวลาถึง 9 ปี และในที่สุด ก็ได้ขยายความร่วมมือต่อกันทั้งด้านรถ เครื่องยนต์ และเทคโนโลยีเข้าไป คราวนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไปว่า ระหว่าง
นิสสัน กับ ไครสเลอร์ จะก้าวไปได้ไกลแค่ไหน และใช้เวลาเท่าไร ?
เรื่องโดย : เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : โลกติดล้อ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78217