ร่มไม้ชายศาล
ม่องเท่งซ้ำสอง
จนถึงนาทีนี้ ต้องยอมรับว่า น้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากดินแดนอาหรับราตรีทั้งหลาย ยังมีความจำเป็น และสร้างความหาวเรอให้แก่ชาวโลกอย่างเราๆ ท่านๆ แบบเต็มเท้า พวกเราเจ้าข้าไม่สามารถดิ้นรนให้พ้นจากน้ำมันที่มาดึงเงินทองออกจากกระเป๋าแต่ละครั้ง มากกว่าควักเงินกินข้าวกินปลาเป็นไหนๆ
ขืนปล่อยให้สภาพการณ์เป็นอยู่อย่างนี้ คนส่วนใหญ่ในโลกจะเลือดตากระเด็น ขณะที่คนแค่หยิบมือ อันได้แก่ เจ้าของบ่อน้ำมันรวยล้นฟ้า คนๆ หนึ่งในเมืองแขก ซื้อเครื่องบินจัมโบ ราคาเป็นหมื่นล้านมาขี่เล่นเป็นส่วนตัว หรือมีเงินถมทะเล สร้างเมืองเป็นว่าเล่น อย่างนี้เป็นต้น
เท่าที่ติดตามข่าวอย่างใจจดใจจ่อมาตลอดในเรื่องรถยนต์ ซึ่งเป็นพาหนะที่ทำให้ พลโลก ตกเป็นทาสน้ำมัน แบบโงหัวไม่ขึ้น จะปลดแอกจากการใช้น้ำมันได้เมื่อไหร่ ความหวังนี้ริบหรี่เหลือเกิน ฝรั่งเอย ญี่ปุ่นเอย ซึ่งเป็นชนชาติที่มีหัวคิดหัวอ่านสร้างโน่นสร้างนี่ขึ้นมาใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา กลับละล้าละลัง ไปไม่ถึงไหนในเรื่องนี้
ผมเคยตั้งความหวังเรื่องการใช้พลังไฮโดรเจนที่มีอยู่ในน้ำ เคยมีข่าวว่าทำได้แล้ว แม้กระทั่งเป็นรถเด็กเล่น ก็ยังใช้ไฮโดรเจนได้ นักศึกษามหาวิทยาลัยในบ้านเรา ก็ทดลองทำขึ้นมาได้ เอาเข้าจริงๆ ไม่คืบหน้าไปถึงไหน กลายเป็นรถในฝันเท่านั้นเอง ข่าวเรื่องนาโนเทคโนโลยีก็เช่นกัน เคยฮือฮา ต่อไปจะมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดกระจิ๋วหลิว แต่ป้อนพลังงานออกมาใช้ในบ้านเรือนได้เหลือเฟือ ไม่ต้องง้อการไฟฟ้าฝ่ายต่างๆ ส่งมาตามสาย ใช้ขับเคลื่อนรถยนต์ได้สบาย ก็เป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ไปเสียนี่ไม่ต้องอื่นไกล รถพลังงานไฟฟ้าแท้ๆ ก็ยังอีหลักอีเหลื่อ ไม่มีออกมาใช้ ออกมาขายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียที ทั้งๆ ที่มนุษย์ทำเรื่องเหลือเชื่อให้เป็นจริงมานับไม่ถ้วน
เป็นไปได้ไหมว่า คนขายน้ำมันยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ใช้วิธีซิกแซกแบบนักการเมืองไทยตอนนี้ ไปเบรค ไปเหยียบไว้ ไม่ให้มีการพัฒนา รถยนต์ที่ใช้พลังงานอื่นโดยไม่ต้องใช้น้ำมันอย่างแท้จริง จึงไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เพื่อรอขายน้ำมันหมดเสียก่อน รวยสะดือปลิ้นเสียก่อน ขณะที่เราท่านนั่นแหละ จะตายเสียก่อน
รัฐบาลประเทศต่างๆ ไม่ว่าประเทศไหน พอได้นั่งแท่น ก็สนุกสนานเพลิดเพลินกับอำนาจวาสนา พากันเพิกเฉยเรื่องที่จะหาวิธีการปลดปล่อยประชาชนของตน ให้พ้นจากการกดขี่ของน้ำมัน
ครับ บ่นมาหลายหนแล้ว ดูสิว่าจะมีอะไรดีขึ้นบ้างไหม พับผ่าสิเอ้า !
มาหาความสำราญด้วยคดีความอย่างเคย งานนี้เป็นการแบกน้ำหนักระหว่างรถบรรทุกพร้อมรถพ่วงคันยาว กับรถมอเตอร์ไซค์ ยี่ห้ออะไรไม่ต้องบอก หนีไม่พ้นของญี่ปุ่นอยู่แล้ว มีของจีนมาขายบ้าง ดันกอพพีเจ้าเก่าทั้งดุ้น เจอข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ของเราไปยึดแล้ว ให้รถแบคโฮบี้ทิ้งตามข่าว
การแบกน้ำหนักเกิดขึ้นที่ถนนสายหนึ่ง รถ 2 ล้อ ติดเครื่องพังยับ ครอบครัวพ่อ แม่ ลูก ที่ซ้อน 3 มากับรถ ตายคาที่ทั้งหมด
การตายของชาวบ้านราคาไม่ค่อยแพง เจ้าของรถและบริษัทประกันฝ่ายหนึ่ง กับทายาทผู้ตายอีกฝ่ายหนึ่ง ไปเจรจาที่โรงพัก ได้ความตามบันทึกประจำวันว่า ยอมจ่ายค่าปลงศพให้ศพละ 5 หมื่นบาท รับเงินไปรวม 150,000 บาท ส่วนค่ารถจักรยานยนต์ตกลงเรื่องค่าเสียหายไม่ได้ เข้าใจว่าฝ่ายรถยนต์กับบริษัทประกันคงขี้ตืดไปหน่อย เลยเป็นเรื่อง
ทายาทของผู้ตาย อันได้แก่ มารดาของผู้ตายทั้ง 2 ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว ให้ทนายพาขึ้นศาล ยื่นฟ้องเจ้าของรถบรรทุกกับบริษัทประกัน ให้ชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะที่พวกตนพึงได้จาก พ่อ แม่ ลูก ที่โดนรถบรรทุกบี้จนตาย รวมแล้วเป็นเงิน 2 ล้าน 4 แสนกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย ในจำนวนนั้นมีค่าซ่อมมอเตอร์ไซค์แค่ 1 หมื่น 5 พันบาทเท่านั้นเอง
จำเลย คือ เจ้าของรถบรรทุกพ่วง และบริษัทประกัน สู้คดี ให้การอย่างมั่นอกมั่นใจว่า งานนี้ฝ่ายโจทก์เรียกร้องอะไรไม่ได้อีกแล้ว ทำหนังสือประนีประนอมยอมความ รับเงินไปเรียบร้อยแล้ว เรื่องพรรค์นี้ฝ่ายจำเลยชำนาญอยู่แล้ว ในการที่จะให้เรื่องมันจบด้วยการทำสัญญาประนีประนอมที่โรงพัก ขอให้ยกฟ้อง เฉพาะบริษัทประกัน ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 อ้างด้วยว่า ตนรับผิดแค่ค่าปลงศพรายละ 5 หมื่นบาท ตาม พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถเท่านั้น จ่ายเกินกว่านั้นไม่ได้หรอก
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เมื่อได้ความว่ามารดาของผู้ตายเป็นทายาทจริง เห็นว่ายังไม่ได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ เพื่อยุติข้อพิพาทตามที่จำเลยอ้าง ตกลงกันได้เฉพาะเรื่องค่าปลงศพ ยังตกลงกันไม่ได้เรื่องค่าเสียหายอื่น เช่น ค่ารถมอเตอร์ไซค์ จึงตัดสินให้เจ้าของรถรับผิด จ่ายค่าขาดไร้อุปการะรวมแล้วหลายแสนบาท แก่โจทก์ ส่วนบริษัทประกันเขาต้องรับผิดแค่ค่าปลงศพตามที่เขาอ้าง จึงให้ยกฟ้อง
จำเลยพากันยื่นอุทธรณ์ ไม่พอใจคำตัดสินของศาลชั้นต้น เพราะอยากให้ยกฟ้องไปทั้งหมดเลย แต่ไม่เป็นผล
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
เรื่องน่าจะจบ แต่ไม่จบ จำเลยดิ้นรนให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่พิจารณาคดีนี้เซ็นยินยอมให้เล่นเกมยาว ยื่นฎีกาขึ้นไปจนได้
ศาลฎีกา ดูคดีนี้ด้วยความเซ็งตามประสาปุถุชน เรื่องไม่น่าจะโผล่ถึงศาลสูงเลย แล้วชี้ขาดออกมาว่า
ข้อความที่ปรากฏในเอกสารที่โรงพัก มีแต่การตกลงเรื่องค่าปลงศพของผู้ตาย ค่าซ่อมรถ มอเตอร์ไซค์ตกลงกันไม่ได้ จึงนัดตกลงกันอีกครั้งหนึ่ง ไม่ได้มีข้อความตรงไหนระบุชัดแจ้งว่า คู่สัญญาทั้ง 2 ตกลงระงับข้อพิพาท โดยยอมสละสิทธิเรียกร้องอื่นทั้งสิ้น พนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานโจทก์ ยันว่า ได้เจรจาตกลงกันเฉพาะเรื่องค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถเท่านั้น สำหรับค่าเสียหายอื่นๆ ไม่ได้ตกลงกัน เนื่องจากวันนั้นเจ้าของรถยนต์บรรทุกไม่ได้มาด้วย จะไปเจรจากันใหม่อีกครั้ง
จากคำเบิกความของตัวแทนบริษัทประกัน ที่เข้าร่วมเจรจาเบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ ยอมรับว่า ค่าปลงศพเป็นการตกลงกันตาม พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ กำหนดไว้ แสดงให้เห็นว่าคู่กรณีมีเจตนาตกลงเฉพาะเรื่องค่าปลงศพเท่านั้น ไม่รวมถึงค่าเสียหายอื่น ถ้ามีการตกลงเรื่องค่าเสียหายอื่น เพื่อให้ระงับข้อพิพาททั้งหมด ตัวแทนบริษัทประกัน น่าจะโต้แย้งให้พนักงานสอบสวนบันทึกไว้แล้ว จึงไม่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลล่างตัดสินมาถูกต้องแล้ว
ศาลฎีกาพิพากษายืน
เรื่องนี้มีแง่มุมที่ควรรับรู้ไว้ เวลาเกิดเรื่อง ทายาทฝ่ายที่ตาย สามารถทำบันทึกที่โรงพัก รับเงินค่าปลงศพตาม พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถได้ ตามที่กฎหมายกำหนด และตามที่พอใจ เพื่อจะได้เงินไปโดยเร็ว
ส่วนค่าเสียหายอื่น ถ้าตกลงกันไม่ได้ ต้องเกี่ยงงอนให้บันทึกไว้ด้วยว่า ต้องมาตกลงกันใหม่ วันนี้ยังไม่โอเค ตกลงกันไม่ได้นะนาย
ถ้าเขียนไว้คลุมเครือ เมื่อโดนฟ้อง แน่นอนฝ่ายที่เขาต้องเสียเงินมักจะอ้างว่าทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไปแล้ว เอาอะไรไม่ได้อีกแล้ว
คดีที่ฝ่ายผู้ตายชนะอย่างคดีนี้ก็มี ที่แพ้เพราะเงื่อนแง่พลิกผันก็มีนะครับ มันบ่แน่หรอกนาย
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2546
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78175