ประกันภัย
ความคืบหน้า กรณี สัมพันธ์ประกันภัย ฯ
หลังจากที่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของสัมพันธ์ประกันภัย ฯ ตลอดมา นับแต่เกิดกรณีกรมการประกันภัยและกระทรวงพาณิชย์ สั่งให้หยุดรับประกันภัยชั่วคราว เนื่องจากปัญหาการขาดทุน และขาดสภาพคล่องขั้นรุนแรง จนไม่อาจให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งบัดนี้เวลาได้ผ่านมาเกือบครบปีแล้ว ก็ยังหาความชัดเจนในการแก้ปัญหาไม่ได้
ขณะนี้หน่วยงานของกรมการประกันภัย ก็ได้ถูกเปลี่ยนเป็น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งถือเป็นองค์กรอิสระตามกฎหมายใหม่ (กฎหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนธันวาคม 2550) มีโครงสร้าง และบทบาทหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิม ได้กำลังเร่งหาทางแก้ไขปัญหาทางการเงินที่คาราคาซังของบริษัทประกันภัยหลายบริษัท ที่เกิดซ้ำซากแบบลอกเลียนกันมาจากอดีต รวมถึงกรณีของสัมพันธ์ประกันภัย ฯ ด้วย
ประเด็นสำคัญในกฎหมายใหม่ บทบาทของ คปภ. คือ มีการกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำรงเงินกองทุนของบริษัทประกันตามมาตราสากลที่แตกต่างไปจากเดิม ที่บริษัทต้องดำรงเงินกองทุนไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 ของเงินสำรองประกันวินาศภัย และประกันชีวิต และอีกร้อยละ 10 ของเบี้ยประกันรับสุทธิสำหรับประกันวินาศภัย โดยในร่าง พรบ. ที่แก้ไข ได้เปลี่ยนแปลงให้บริษัทต้องมีทรัพย์สินเป็นทุนสำรองจำนวน 100 % ของเงินสำรองประกันภัย และทรัพย์สินต้องปราศจากภาระผูกพันตลอดเวลาที่ประกอบธุรกิจ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้บริษัทประกันภัย และประกันชีวิต รวมทั้งคุ้มครองประชาชนไม่ให้ถูกเอาเปรียบจากการทำประกัน ฯ
สำหรับโครงสร้างของ คปภ. แบ่งเป็น 4 สายงานหลัก คือ สายงานตรวจสอบ สายงานกำกับ สายงานส่งเสริมและบริหาร และสายงานกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ตั้งอยู่ที่ 44/100 ถนนนนทบุรี 1 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 โทร. 0-2547-4602-6 แฟกซ์ 0-2547-4538
นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและการส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด ที่มีการตั้งข้อสังเกต คปภ. ได้ประวิงเวลา หรือให้โอกาสบริษัทสัมพันธ์ประกันภัย ฯ มากเกินไปว่า เนื่องจากมีกลุ่มผู้ลงทุนคนไทยสนใจเข้าไปลงทุนในบริษัท ฯ ค่อนข้างมาก และได้มีการเข้าพบสอบถามรายละเอียดของบริษัท ฯ จาก คปภ. อย่างต่อเนื่อง
โดยกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ ระบุว่า อยากเข้ามาลงทุน และดำเนินกิจการได้ทันที แต่ คปภ. เห็นว่า บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ฯ จะต้องสะสางหนี้สิน โดยเฉพาะเงินค้างจ่ายให้ลูกค้าที่มีการร้องเรียนขณะนี้ 5,600 ราย ให้เรียบร้อย เพราะที่ผ่านมา บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ฯ ได้เคลมค่าสินไหมไปแล้ว 600 ราย ประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งจากจำนวนลูกค้าที่มีปัญหาดังกล่าว คิดเป็นวงเงินที่บริษัท ฯ จะต้องชำระค่าสินไหมไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท และยังไม่รวมการชำระหนี้สินให้อู่ในเครืออีกกว่า 100 ล้านบาท
ซึ่งทาง คปภ. ได้ยืนยันกับกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ จะต้องนำเงินมาดำเนินการใน 2 บัญชีหลัก คือ เพิ่มเงินกองทุนให้เป็นไปตามกฎหมาย และเร่งชำระหนี้เคลมค่าสินไหมให้ผู้เอาประกันโดยเร็ว คิดเป็นวงเงินมากกว่า 1,000 ล้านบาท ดังนั้น ทาง คปภ. จึงให้กลุ่มผู้ลงทุนรายใหม่กลับไปพิจารณาว่าจะดำเนินการตามแผนที่ คปภ. ให้เวลาไว้ภายใน 1-2 เดือน ได้หรือไม่ เชื่อว่าเท่าที่มีการหารือกับผู้ลงทุนใหม่ มีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่มผู้ลงทุนใหม่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ฯ
ส่วนกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ (DSI) จะตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพฤติกรรมผู้บริหารของบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ฯ นางจันทรา กล่าวว่า ถือเป็นขั้นตอนการตรวจสอบตามกระบวนการของกฎหมาย และขณะนี้ฝ่ายกฎหมายของ คปภ. ได้จัดทำบัญชีส่งข้อมูลไปยัง กรมสอบสวน คดีพิเศษ (DSI) และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้ตรวจสอบบริษัทประกันที่เข้าข่ายมีปัญหาขาดสภาพคล่องไปแล้ว
สำหรับความคืบหน้าของการดำเนินงานกรณีบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด ล่าสุด เมื่อวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2551 นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ชี้แจง ว่า ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 สำนักงาน คปภ. ได้มีคำสั่งให้บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด หยุดรับประกันภัยชั่วคราว เพื่อเป็นการยุติความเสียหายที่จะเกิดแก่ประชาชนรายใหม่
1. โดยในระหว่างนี้ สำนักงาน คปภ. ได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลการเบิกจ่ายเงินของบริษัท ฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการเร่งรัดให้บริษัท ฯ จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ประชาชนรวดเร็ว และครบถ้วน
2. ในระหว่างการหยุดรับประกันภัยชั่วคราว สำนักงาน คปภ. ให้บริษัท ฯ ส่งแผนการแก้ไขฐานะการเงิน ซึ่งในแผนดังกล่าวบริษัท ฯ ต้องกำหนดระยะเวลาเพิ่มทุน แผนการชำระหนี้สินค่าสินไหมทดแทนค้างจ่าย ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ ดำเนินการเร่งรัดให้บริษัท ฯ จ่ายสินไหมค้างจ่าย เริ่มตั้งแต่ 14 สิงหาคม 2550 เป็นจำนวน 695 ราย คิดเป็นค่าสินไหมทดแทนจำนวน 7.38 ล้านบาท ขณะนี้ มีเรื่องร้องเรียนทั่วราชอาณาจักร ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 จำนวน 9,153 ราย เป็นเงินจำนวน 441.25 ล้านบาท
สาเหตุที่สำนักงาน คปภ. ยังไม่เพิกถอนใบอนุญาตบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด เนื่องจาก
1. การเข้าหยุดรับประกันวินาศภัยชั่วคราว ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายรายใหม่เกิดขึ้นอีก และเป็นขั้นตอนการดำเนินการตามกรอบการกำกับตรวจสอบธุรกิจประกันภัย โดยจะเป็นผลดีแก่ผู้เอาประกันภัยให้มีโอกาสที่จะได้รับชดใช้จากมูลหนี้
2. หากเพิกถอนใบอนุญาตในขณะนี้ จะทำให้ประชาชนไม่ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน การทอดเวลาออกไปเพื่อให้บริษัท ฯ สามารถหาผู้รวมทุนรายใหม่ได้ และสามารถมีเม็ดเงินเพิ่มเติมเข้ามาบริหาร จะทำให้บริษัท ฯ สามารถชดใช้ค่าสินไหมที่ค้างอยู่กับประชาชนได้เพิ่มขึ้น
การเพิกถอนใบอนุญาตบริษัทประกันภัยที่ผ่านมา มีกรรมวิธีทางกฎหมายที่ใช้เวลานาน เนื่องจากมีการพิสูจน์หนี้ และเจ้าหนี้จะไม่ได้รับเงินเต็มจำนวนหนี้ เพราะต้องมีการเฉลี่ยหนี้กับเจ้าหนี้อื่นเป็นรายๆไป
ส่วนการดำเนินการของสำนักงาน คปภ. กับบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ฯ ในเดือนมีนาคม 2551 บริษัท ฯ มีผู้สนใจจะเข้ามาร่วมทุน จำนวน 3 ราย เป็นผู้ร่วมทุนในประเทศ 2 ราย และผู้ร่วมทุนต่างประเทศ 1 ราย ขณะนี้ได้อยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบบัญชี และจะทราบการตรวจสอบบัญชี เพื่อทราบฐานะการเงินของบริษัท ฯ ก่อนที่จะตกลงเพื่อเข้าร่วมทุน ในวันที่ 4 เมษายน 2551
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ คปภ. ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า สัมพันธ์ประกันภัย ฯ ต้องสะสางหนี้สิน ทั้งเคลมค่าสินไหม และเงินค้างจ่ายอู่ซ่อมรถ รวมทั้งเพิ่มเงินกองทุนตามกฎหมาย จึงจะเปิดกิจการใหม่ได้
ในส่วนของการดำเนินคดี สำนักงาน คปภ. ได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนของ กรมสอบสวน คดีพิเศษ (DSI) และได้รับเรื่องของบริษัทสัมพันธ์ประกันภัย ฯ เป็นคดีพิเศษ และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการ
นอกจากนี้ นางจันทรา ยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในปี 2551 นี้ สำนักงาน คปภ. ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ของสำนักงาน เพื่อสู่ความเป็นเลิศประกันภัยไทย พร้อมทั้งกำหนดน้ำหนักของประเด็นยุทธศาสตร์ดังกล่าวไว้ดังนี้
1. การสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจประกันภัย ร้อยละ 50
2. การพัฒนาระบบประกันภัยเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร้อยละ 20
3. การพัฒนาระบบบริหารงานให้มีความเป็นเลิศ ร้อยละ 30
จะเห็นได้ว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้เน้นการสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจประกันภัยไว้มากที่สุด ดังนั้นมาตรการต่างๆ ที่จะถูกนำมาออกใช้นั้นจะมีการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อปรับปรุงมาตรการต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตลอดเวลา
ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยเรื่องการประกันภัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนประกันภัย โทร.1186
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78165