ประกันภัย
กรณีศึกษา สัมพันธ์ประกันภัย ฯ ไปไม่รอด (จบ)
ฉบับนี้จะเป็นการสรุปจบแบบอวสาน กรณีศึกษา สัมพันธ์ประกันภัย ฯ ไปไม่รอด หลังจากที่ได้นำเสนอหัวข้อนี้ต่อเนื่องมาหลายฉบับ ตั้งแต่ความเป็นมาของเหตุการณ์ ข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนความเห็นของบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผลกระทบของการเกิดเหตุการณ์ประกันภัยมีปัญหาสภาพคล่องทางด้านการเงิน และมาตรการใหม่ที่เข้มงวดได้ถูกคลอดออกมา ในลักษณะเพื่อป้องกันปัญหาเช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นมาอีกในอนาคต
ถึงแม้ว่ากรณีของสัมพันธ์ประกันภัย ฯ จะเป็นตัวแบบในศึกษาที่สำคัญและชัดเจน จนทำให้เกิดมีมาตรการใหม่ๆ ออกมา ก็หาใช่ว่าจะเป็นเครื่องรับรองว่าจะไม่มีบริษัทประกันภัยอื่นๆ จะเกิดกรณีอย่างสัมพันธ์ ฯ ตามมา เพราะว่าการบังคับใช้มาตรการในทางปฏิบัติจริง คงต้องใช้เวลา 1 ปี ถึง 3 ปี กว่าจะเห็นผล แต่ในขณะที่ปัจจุบันนี้ยังมีบริษัทประกันภัยที่มีปัญหาทางการเงิน ถึงขั้นโคมาอยู่อีกหลายบริษัท ซึ่งหน่วยงานภาครัฐต้องเข้าไปกำกับดูแล แบบเฝ้าไข้ใกล้เตียง ไม่รู้จะรอดหรือร่วง ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดอย่ากะพริบตากันต่อไป
บทสรุปที่สำคัญของการที่บริษัทประกันภัยไปไม่รอด ก็คือ ปัญหาการขาดสภาพคล่อง และเงินกองทุนติดลบ ซึ่งได้เกิดขึ้นกับบริษัทประกันภัยไปแล้วหลายแห่ง รวมทั้งกรณีของ สัมพันธ์ประกันภัย และอีกหลายแห่งที่กำลังจะตามมาในเร็วๆ นี้ มีผู้วิเคราะห์เจาะลึกถึงสาเหตุส่วนใหญ่เนื่องมาจากผู้บริหาร ฯ มีธุรกิจอย่างอื่นทำอยู่ด้วย ซึ่งเป็นโอกาสที่ทำให้เกิดการใช้เงินของบริษัทประกันภัยผิดวัตถุประสงค์ เพราะมีการผ่องถ่ายจากเงินที่ควรจะต้องส่งเข้าบริษัทประกันภัยไปใช้ในธุรกิจอื่นก่อน เช่น บริษัทประกันภัยที่มีปัญหาไปก่อนหน้านี้ เพราะประกอบกิจการเช่าที่ดิน เพื่อจัดทำรีสอร์ท โรงแรม ภัตตาคาร และประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น
ประกอบกับการแข่งขันในธุรกิจนี้ ที่แข่งกันรุนแรง ทำให้เกิดกลยุทธ์ตัดราคาเบี้ยประกัน เช่น กรณีสัมพันธ์ประกันภัย ฯ ใช้กลยุทธ์คิดเบี้ยต่ำ และจ่ายค่าคอมมิชชันสูง ขณะที่ผลการดำเนินงานของสัมพันธ์ประกันภัย ฯ ขาดทุนสุทธิ 6 ปีติดต่อกันมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปี 2549 โดยล่าสุดเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2547-2549) ขาดทุนสุทธิ 60.89 ล้านบาท 217.44 ล้านบาท และ 57.95 ล้านบาท ตามลำดับ
จากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์แห่งหนึ่ง (ข้อมูลจาก นสพ. ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2237 22 กค.-25 กค. 2550) ประเมินว่าบริษัทประกันภัยหลายแห่งจัดได้ว่ามีความเสี่ยงในระดับสูง เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างของการจัดหาเงินทุน ที่มาจากหนี้สินถึงมากกว่า 80 % และส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 20 % ยกตัวอย่างกรณีของสัมพันธ์ประกันภัย ซึ่งพบว่า โครงสร้างการจัดหาเงินทุนประกอบด้วย หนี้สิน 81.38 % และส่วนของผู้ถือหุ้น 18.62 % (ข้อมูล ณ ปี 2548 ) โดยยังมีบริษัทประกันวินาศภัยอีกหลายแห่งที่มีโครงสร้างการจัดหาเงินทุนในลักษณะเดียวกัน
ปัญหาทุจริตในธุรกิจประกันวินาศภัย กำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่นอกจากจะกระทบต่อประชาชนโดยตรงแล้ว ยังกระทบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ ซึ่งหากหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่เอาจริงเอาจังอย่างที่ปากพูด อาจมีบทเรียน ล้มบนฟูก ภาค 2 เกิดขึ้นในไม่ช้านี้ !
สัญญาณอันตราย คือ การขายกรมธรรม์แบบตัดราคาเบี้ยให้ต่ำ นี่ก็คือ จุดจบ
ผู้คนในแวดวงประกันภัยที่คร่ำหวอดมานานถึงกับบอกว่า ในรายของสัมพันธ์ประกันภัย ฯ จะหนักกว่าธนสิน ฯ ก็ตรงที่ มีลูกค้าในพอร์ทมหาศาลเกือบล้านกรมธรรม์ เป็นอันดับ 2 รองจาก วิริยะประกันภัย ฯ ความเสียหายจึงรุนแรงกว่าเป็นเท่าตัว
แต่ที่เหมือนกันจนเกือบจะกลายเป็นสูตรสำเร็จของบริษัทชะตาขาดเหล่านี้ ก็คือ การเล่นสงครามราคา หรือตัดราคาเบี้ยให้ต่ำ จนสามารถผลิตเบี้ยรวมได้มโหฬาร หลังการก่อตั้งบริษัทได้เพียงไม่กี่ปี ปูมหลังของผู้บริหารค่ายสัมพันธ์ ฯ เริ่มต้นมาตั้งแต่ ย้ายตัวเองมาจาก ลิเบอร์ตี้ประกันภัย ฯ หลังจากนั้นก็เริ่มต้นธุรกิจในช่วง 5 ปีแรก อย่างครึกโครม เบี้ยรวมกระโดดจาก 100 ล้านบาท มาถึงระดับ 4 พันกว่าล้านบาทในเวลาเพียง 10 ปี
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สัมพันธ์ ฯ จะเลือกกลยุทธ์ตัดราคาเบี้ยประกันภัยรถประเภท 1 ด้วยราคาที่น่าสนใจ เช่น วิริยะประกันภัย ฯ คิดเบี้ย 2 หมื่นบาท สัมพันธ์ ฯ จะคิดเบี้ยอยู่ที่ 1.2 หมื่นบาท โดยให้คอมมิชชันตัวแทนสูงกว่าค่ายอื่น ทำให้มีปัญหาซุกซ่อนอยู่ในต้นทุนการจ่ายสินไหมที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
แต่แล้วการมีเบี้ยประกันรวมที่โต และก้าวกระโดดแบบน่ากลัว โดยไม่มีการเตรียมการรองรับ ก็ทำให้สัมพันธ์ ฯ ถูกตั้งข้อครหาจากสังคมถึงความไม่โปร่งใส โดยเฉพาะการไซฟ่อนเงิน เหมือนกับที่เคยเกิดกับรัตนโกสินทร์ประกันภัย ฯ และพาณิชย์การประกันภัย ฯ
ทั้ง รัตนโกสินทร์ ฯ พาณิชย์การ ฯ ธนสิน ฯ หรือแม้แต่ สัมพันธ์ประกันภัย ฯ ต่างก็ใช้สูตรดำเนินธุรกิจเดียวกัน คือ คิดเบี้ยราคาต่ำ แลกกับการรับงานจากไฟแนนศ์ หรือ ดีเลอร์รถยนต์ ลูกค้าซื้อรถใหม่ป้ายแดง จึงทั้งถูกมัดมือชกจากไฟแนนศ์ และถูกล่อลวงเข้าไปใน "วังวน" ที่กำลังจะพบกับ "จุดจบ" ในเวลาต่อมา
ความหายนะของเบี้ยราคาถูกตกกับตัวลูกค้าด้วยเพราะ ของถูกไม่มีจริง
ผู้บริหารบริษัทประกันภัยรายหนึ่ง เปรียบเทียบราคาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 จะครอบคลุมความเสียหายทั้งหมด และธุรกิจจะอยู่ได้ ราคาเฉลี่ยเบี้ยประกันคัน/ปีน่าจะอยู่ที่ 1.7-1.8 หมื่นบาท ถ้าต่ำกว่านั้น ก็สามารถเดาได้ว่าลูกค้าผู้เอาประกันภัย จะต้องเจอกับหายนะอย่างแน่นอน
ผู้บริหารธุรกิจประกันภัยในเครือแบงค์ใหญ่ อธิบายเรื่องต้นทุนจากการดำเนินงานลักษณะนี้ว่า การรับงานโดยไปตัดราคาบริษัทอื่น เพียงไม่กี่ปี เบี้ยก็พุ่งกระฉูด พอๆ กับต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เบี้ยราคาต่ำไม่สามารถครอบคลุมได้
"เบี้ยราคาถูกจึงอันตราย บริษัทที่บริหารงานแบบนี้จะเล่นตัดราคา จ่ายคอมมิชชันสูงๆ ล่อใจตัวแทน ให้เครดิทยาวๆ เพื่อให้เบี้ยโตเร็ว และงานเข้ามาให้มากที่สุด "
เจ้าของรถหลายรายมีประสบการณ์จากการซื้อกรมธรรม์เบี้ยราคาถูก มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ของถูกมักไม่มีจริง แถมยังเคลือบยาพิษ ทำให้ผู้ซื้อประกันภัยรถยนต์ถึงกับต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าซ่อมรถให้กับอู่เอง ทั้งที่จ่ายเงินเพื่อซื้อความคุ้มครองราคาเป็นหมื่นๆ บาท และหลายต่อหลายคนก็มีประวัติการขับขี่ดี นานๆ จึงจะได้เคลมได้ซ่อมสักครั้ง แต่พอได้ซ่อม ก็ต้องเจ็บใจเสมือนถูกส้อมเสียบใจ
สูตรตัดราคาแบบง่ายๆ เป็นกลยุทธ์เพื่อให้ธุรกิจเติบโต ทำให้การโหมรับงานใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาพอกพูนมาก ก็ยิ่งทำให้ผลประกอบการขาดทุนบานปลายมากขึ้น โดยเฉพาะการจ่ายสินไหมทดแทนมูลค่าความเสียหายสูงๆ ในขณะที่บริษัทรับเบี้ยมาราคาต่ำ ทำให้บริษัทต้องหาเงินเข้ามาหมุนเวียน เพื่อให้สามารถดำเนินงานต่อไปได้ จนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ไม่สิ้นสุดในเวลาต่อมา
ผลที่ตามมา ก็คือ บริษัทเหล่านี้จะเริ่มเข้าไปกดดันอู่ ด้วยวิธีให้อู่ลดราคาซ่อมให้แก่ลูกค้า อู่ที่รับงานก็จะมีรายได้อะไหล่ และค่าแรงน้อย ซึ่งทั้งหมดถือเป็นต้นทุนแทบทั้งนั้น ขณะเดียวกันโครงการรถใช้ระหว่างซ่อม ถ้าบริษัทเป็นคนจ่ายเองคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าให้อู่เป็นฝ่ายจัดการ ต้นทุนก็จะโผล่มาเป็นค่าซ่อมรถของบริษัทฯ แบบกระทบชิง
ผู้บริหารบริษัทประกันภัยรถยนต์รายใหญ่ ให้ความเห็นว่า การทำงานร่วมกับอู่ บางครั้งบริษัทก็จำเป็นต้องให้เขามีกำไรบ้าง ทั้งจากค่าซ่อม ค่าแรง ไม่เบี้ยว เพื่อให้ลูกค้าประทับใจ ไม่ใช่ตัดประเมินราคาค่าซ่อมอู่เกือบครึ่งของราคาจริง ตรงนี้อู่ก็อยู่ไม่ได้ บริษัทที่บริหารงานดีๆ จึงมักจะมีหน่วยตรวจสอบอู่ เพื่อกันไม่ให้อู่ฉลาดแกมโกงใส่อะไหล่เก๊ให้ลูกค้า หรือ ปรับเงินอู่ที่ซ่อมไม่ดี ขณะเดียวกันก็ต้องคุมมาตรฐานอู่ เพื่อไม่ให้เสียชื่อ เวลาลูกค้าส่งรถเข้าซ่อม
ข้ออยากแนะนำก่อนที่จะพาตัวเองไปเป็นลูกค้าบริษัทประกัน คือ ต้องสังเกตให้ดีว่า บริษัทประกันภัยนั้นๆ เริ่มมีสัญญาณอันตรายหรือไม่ เบี้ยต่ำเกินไปหรือเปล่า และถ้าชื่อเริ่มเสีย คือ อู่ไม่รับงานซ่อม ด้วยเหตุผลต่างๆ ให้คอยจับผิดดูหากอยู่ไปนานปี มาได้ยินข่าวคราวว่า ผลประกอบการย่ำแย่อีกก็ให้พิจารณาก่อนเป็นอันดับแรก ว่า เป็นบริษัทที่เข้าข่ายอันตราย ที่ไม่ควรตัดสินใจเป็นลูกค้าของบริษัทนั้นๆ พร้อมกับส่งสัญญาณบอกต่อยังญาติๆ เพื่อนๆ ด้วย อย่าได้หลงไปติดกับเป็นอันขาด
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77997