รู้ลึกเรื่องรถ
ยังประหยัดได้อีกเยอะ
ปัญหาโลกร้อนขึ้น ยังคงเป็นเรื่องที่น่ากังวลของชาวโลกครับ และเป็นโชคดีที่ชาวออสเตรเลียเลือกคนที่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจปัญหาสำคัญ มีวิสัยทัศน์ยาวไกล มาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พร้อมกับประกาศให้ความร่วมมือในการลดปัญหาโลกร้อนจากการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศอุตสาหกรรม เป็นการตัดสินใจเลิกตามหางลูกพี่ ซึ่งก็คือสหรัฐอเมริกา ที่ยังคงแสดงความเห็นแก่ตัว วางก้ามแบบนักเลงโต ทั้งในเรื่องปล่อยแกสนี้แบบไม่จำกัด และเรื่องอื่นๆ อีกมากมายต่อไป
ปริมาณแกสคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาจากปลายท่อไอสียของรถยนต์ที่พวกเราใช้กันอยู่ เป็นสัดส่วนโดยตรงกับปริมาณเชื้อเพลิงที่เครื่องยนต์ใช้ครับ จะแตกต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อยระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน และเครื่องยนต์ดีเซล เพราะในน้ำมันดีเซลมีพลังงานมากกว่านิดหน่อย เมื่อเทียบกับน้ำมันเบนซินปริมาตรเท่ากัน ก็เลยต้องใช้อากาศมากขึ้นตามส่วน ในการทำปฏิกิริยา จึงมีการจับคู่ระหว่างออกซิเจนในอากาศ กับคาร์บอนในเชื้อเพลิง เป็นคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นตามไปด้วย
เพราะฉะนั้นการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย ก็คือการลดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั่นเอง ผมได้ตัวอย่างการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ที่น่าเชื่อถือมาตัวอย่างหนึ่งพอดี เป็นงานวิจัยที่กรมควบคุมมลภาวะของสหพันธรัฐเยอรมันมอบหมายให้ สถาบันยานพาหนะทางบกแห่งมหาวิทยาลัยประจำเมืองอาเคน ซึ่งเป็นสถาบันระดับสูงของประเทศนี้ ซึ่งก็หมายความว่าเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับสูงสุดแห่งหนึ่งของโลกนั่นเอง
เพราะเป็นที่รู้กันว่าประเทศนี้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนา และผลิตรถที่ดีที่สุดในโลก หัวข้อของงานวิจัยนี้ คือ หาความเป็นไปได้ของการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย ของรถเก๋งที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน รถที่สถาบันนี้เลือกมาใช้ ในการวิจัยและทดสอบ เป็นรถจากโรงงาน โฟล์คสวาเกน รุ่น กอล์ฟ จีที 1.4 ที เอส ไอ ซึ่งแต่เดิมใช้เครื่องยนต์ 5 สูบ ที่รู้จักกันในชื่อ วีอาร์-5 แล้วเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก ความจุเพียง 1,400 ซีซี เพิ่มกำลังชดเชยให้ได้ระดับเดียวกับเครื่องใหญ่ ด้วยเทอร์โบ
ตามหลักแล้วไม่มีอะไรได้มาฟรี ถ้าต้องการกำลังสูง ก็ต้องใช้เชื้อเพลิงจำนวนมากด้วย แต่ความแตกต่างนั้นมีครับ ซ่อนอยู่ที่อื่น นั่นคือ แรงเสียดทานของชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ ตั้งแต่แบริง (ที่ช่างไทยเรียกกันว่า ชาฟท์) ลูกสูบ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นแหวนลูกสูบ ซึ่งอัดกับผนังกระบอกสูบค่อนข้างแรง ก้านลิ้นกับปลอกลิ้น ลูกเบี้ยวกับกระเดื่อง หรือถ้วยลิ้น ก้านสูบกับสลักลูกสูบ ก้านสูบกับเพลาข้อเหวี่ยง ทุกจุดเหล่านี้ล้วนเป็นการเสียดสีกันของโลหะ ที่แม้จะมีน้ำมันหล่อลื่นช่วยอยู่ ก็เกิดแรงเสียดทานรวมกันทั้งหมด มากพอสมควร
พลังงานที่จะต้องมาชดเชยหรือพูดง่ายๆ ว่า เอาชนะ ความฝืดเหล่านี้ ก็ต้องมาจากน้ำมันเชื้อเพลิงที่เราเติมใส่ถังของรถนั่นเองครับ ถ้าอยากลดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงส่วนหนึ่งลง ก็ต้องลดแรงเสียดทานที่ว่านี้ ซึ่งก็คือการลดน้ำหนักของชิ้นส่วนรวมทั้งลดพื้นที่ผิวที่เสียดสีกันด้วย และนั่นก็คือการลดความจุของเครื่องยนต์ลงนั่นเองครับ พอลดขนาดเครื่องยนต์ลง กำลังที่จะได้มาใช้งานก็ลดลงไปตามส่วนด้วย
วิธีเพิ่มกำลังมาชดเชยมี 2 วิธีหลักครับ อย่างแรก คือ เพิ่มความเร็วของเครื่องยนต์ให้สูงขึ้นไปอีก แต่พลังงานที่สูญไปกับแรงเสียดทาน ก็จะเพิ่มขึ้นไปพร้อมกับความเร็วของเครื่องยนต์ด้วย เป็นอันว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล ดูตัวอย่างได้จากเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่ให้กำลังเท่าเครื่องใหญ่กว่า เช่น เครื่องยนต์ของ บีเอมดับเบิลยู รุ่น เอม 3 หรือ แฟร์รารี เอฟ 430 ที่ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่ได้น้อยไปกว่าเครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่าเลย และก็ไม่ใช่จุดประสงค์ของผู้สร้างด้วยครับ เพราะเขาต้องการความเบาของมัน กับการให้กำลังในแบบที่ขับสนุก มีเสียงจากท่อไอเสียเพราะๆ เป็นของแถม
จึงเหลือเพียงวิธีที่ 2 ซึ่งก็คือการเพิ่มแรงบิด ที่ไม่ได้มาจากไหนนอกเสียจากความดันแกสที่กระทำต่อหัวลูกสูบ ตอนที่ไอดีถูกหัวเทียนจุดให้ลุกไหม้ โดยใช้หลักง่ายๆ ครับ ว่าถ้าต้องการให้มันลุกไหม้แล้วความดันสูงกว่าเดิม ก็อัดไอดีเข้าไปในกระบอกสูบด้วยความดันที่สูงขึ้นอีก จากเดิมที่มีแค่ความดันเท่าบรรยากาศที่เราหายใจกันอยู่ ก็ต้องหาอุปกรณ์อัดอากาศมาเพิ่มความดัน แล้วจึงป้อนเข้าท่อไอดี ด้วยเทอร์โบชาร์เจอร์ หรือ ซูเพอร์ชาร์เจอร์ แล้วแต่ความชอบ หรือความถนัดของแต่ละโรงงาน
วิธีลดความจุของเครื่องยนต์ แต่รักษากำลังไว้ให้พอๆ กับของเดิม โดยเพิ่มความดันของไอดีนี้ กำลังเป็นที่นิยมและมีอนาคตยาวไกลครับ รู้จักกันในภาษาอังกฤษเป็นสากลว่า DOWNSIZING ในกรณีของ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ รุ่นที่กำลังกล่าวถึงนี้ สามารถลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ถึง 40 กรัม/กม. จากเดิม 212 กรัม/กม. เหลือเพียง 172 กรัม/กม. หรือคิดเป็นสัดส่วนถึงเกือบร้อยละ 19 ซึ่งถือว่า มหาศาล สำหรับวิศวกรที่พัฒนารถ เพราะแค่ระดับร้อยละ 2 ถึง 3 บางทีต้องลงทุนพัฒนากันเป็นพันล้านเลยครับ
กลับมาที่การลดความสิ้นเปลืองในส่วนที่เป็นงานวิจัยกันต่อ ทีมวิจัยเพ่งเล็งทุกจุดของรถ และทุกจุดในสภาวะใช้งาน ได้วิธีต่างๆ มามากพอสมควร ซึ่งผมจะเล่าโดยไม่เรียงลำดับความสำคัญนะครับ
มีระบบเตือนให้เปลี่ยนไปเกียร์สูง
อยู่ที่หน้าปัดหน้าคนขับ ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่าย เช่น จากเกียร์ 2 ไปเกียร์ 3 หรือเกียร์ 4 ไปเกียร์ 5 เกียร์สูง คือ เกียร์ที่รถทำความเร็วได้สูงครับ หรือจำง่ายๆ ว่า เกียร์สูงเลขมาก เกียร์ต่ำเลขน้อยก็ได้ การใช้เกียร์ต่ำนานเกินไป ทั้งๆ ที่ควรเปลี่ยนไปเกียร์สูง ทำให้เปลืองเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็นครับ
ปัญหานี้เป็นจุดอ่อนของพวกเราคนไทยที่ขับรถเกียร์ ธรรมดา ทั้งรถบ้าน รถพิคอัพขนของ รถประจำทาง รถสิบล้อ รถแทกซี ทุกรายที่ผมเคยนั่งโดยสารมา ล้วนใช้เกียร์ต่ำนานเกินไป เกียร์แต่ละเกียร์ อาจเป็นเกียร์ต่ำ หรือเกียร์สูงก็ได้นะครับ แล้วแต่สถานการณ์หรือวิธีพิจารณา เช่น ถ้าเทียบระหว่างเกียร์ 2 กับเกียร์ 3 เกียร์ 3 จะเป็นเกียร์สูง แต่ถ้าเปรียบเทียบระหว่างเกียร์ 3 กับเกียร์ 4 เกียร์ 3 จะเป็นเกียร์ต่ำ ยกเว้นเกียร์สุดท้ายเท่านั้น ที่อย่างไรเสียก็เป็นเกียร์สูง
หลายคนที่ผมเคยโดยสารด้วย มีวิธีเลือกเกียร์ที่แปลกมาก คือ ใช้เกียร์ 4 อยู่นานมาก ทั้งๆ ที่ควรเปลี่ยนไปเกียร์ 5 นานแล้ว ไม่ว่ารถคันหน้าจะเร่งความเร็วเป็นบางช่วง หรือใช้ความเร็วคงที่ ใช้เกียร์ 4 อยู่หลายนาที จนกระทั่งรถคันหน้าเบรค จนต้องเบรคตาม
คราวนี้กลับเปลี่ยนไปเกียร์ 5 ประหลาดดีครับ เป็นแบบนี้กันเยอะมาก ถ้าจะหาคำตอบก็จะเข้าเรื่องเดิมที่ผมเขียนจนเบื่อแล้ว นั่นคือ ไม่ได้เรียนทฤษฎีและปฏิบัติอย่างถูกต้อง จากครูของโรงเรียนสอนขับรถยนต์มาตรฐาน ที่จนแล้วจนรอดประเทศเราก็ยังไม่มีอย่างเพียงพอเสียที
ถ้าผู้ขับ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ คันนี้ เปลี่ยนไปเกียร์สูงตามที่โพรแกรมสั่ง หรือแนะนำทางหน้าปัด ก็จะลดปริมาณแกสคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราวๆ 12 กรัม เมื่อเทียบกับการเลือกเกียร์ตามถนัดของผู้ขับระดับเฉลี่ย
ลดน้ำหนักเก้าอี้
การลดน้ำหนักเก้าอี้ ก็คือ การลดน้ำหนักรวมของตัวรถนั่นเอง ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 1 กรัมครับ
ลดน้ำหนักฝาประตูหลัง
ซึ่งปกติทำจากเหล็ก ถ้าเปลี่ยนวัสดุเป็นใยคาร์บอนจะลดน้ำหนักรถรุ่นนี้ได้ราว 16 กก. ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 2 กรัม แต่วิธีนี้คงนำไปปฏิบัติจริงได้ยาก เพราะต้นทุนจะเพิ่มขึ้นมากเหมือนกัน
ใช้ยางแรงเสียดทานกลิ้งต่ำ กับ เพิ่มความดันลมยาง
โดยลดความกว้างของยางลงด้วย เช่น จาก 225 มม. เป็น 205 มม. หรือถ้าจะให้เต็มที่ ก็ใช้แค่ 185 มม. แต่ลูกค้าคงไม่ชอบนัก เพราะความสวยงามและความรู้สึกมั่นคงจะหายไป กลายเป็นรถ ขาลีบ ไป วิธีนี้ลดได้ 6 กรัม ครับ
เก็บความร้อนไว้อุ่นเครื่องยนต์ ตอน สตาร์ทเย็น คราวต่อไป
ต้องมีฉนวนกันความร้อน เพื่ออุ่นน้ำหล่อเย็นของเครื่องยนต์ ซึ่งกินที่ห้องเครื่องยนต์พอสมควรและเพิ่มน้ำหนักให้ตัวรถด้วย แต่ก็ช่วยประหยัดได้ประมาณ 5 กรัม
ใช้แบทเตอรีแบบพิเศษ น้ำหนักเบา และเก็บพลังงานได้ดี
มีน้ำหนักเบากว่าแบทเตอรีแบบใช้ตะกั่วราวๆ 4.5 กก. ลดได้ราว 1 ถึง 5 กรัม ขึ้นอยู่กับว่ารถนั้น มีระบบแปลงพลังงานจากการเบรค ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าไปเก็บไว้ในแบทเตอรีหรือไม่ ถ้ามี ก็จะช่วยให้อัลเทอร์เนเตอร์ใช้พลังงานของเครื่องยนต์น้อยลงในการอัดไฟเข้าแบทเตอรี
ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ เมื่อหยุดรถ และติดเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจะออกรถ
ลดได้ 7 กรัมครับ แต่คงใช้กับรถในเมืองไทยไม่ได้ เพราะต้องอาศัยเครื่องยนต์ในการปรับอากาศ
ลดอัตราทดตั้งแต่เกียร์ 3 ถึงเกียร์ 6
โดยเฉพาะเกียร์ 6 ลดอัตราทดลง 38 % ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 6 กรัม
ใช้ฝากระโปรงหน้า ทำจากใยคาร์บอน
ลดน้ำหนักได้ 9 กก. ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 กรัม ซึ่งอาจไม่คุ้มกับต้นทุนที่สูงขึ้น ยกเว้นจะเป็น 1 กรัม ที่โรงงานต้องสอบผ่านมาตรฐานความสิ้นเปลืองให้ได้พอดี แบบนี้คงต้องยอมจ่ายครับ
รวมทุกมาตรการแล้ว โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ คันนี้ ลดคาร์บอนไดออกไซด์จาก 172 กรัม/กม. เหลือเพียง 131 กรัม/กม. หรือประมาณ 1 ใน 4 ซึ่งถือว่ามากทีเดียวครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77985