รุ่นนี้พอมีเหลือ
ฉันรู้นะ คุณคิดอะไรอยู่ ?
บางทีคุณอาจเคยได้ยินเรื่องเล่าเรื่องนี้ สามีกับภรรยาที่แต่งงานกันมาเกินกว่า 7 ปี นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร
ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นชาและเงียบขรึม นานทีภรรยาก็มองดูสามี และทุกครั้งที่มองสามีก็จะพบว่า สามีกำลังเพ่งสายตามองดูตน
และแล้วฝ่ายภรรยาก็เอะอะขึ้นมาว่า "ฉันรู้นะ
คุณคิดอะไร ?"
สามีเปิดยิ้มที่จืดชืด พร้อมกับสวนกลับไปว่า "ฉันคิดเหมือนที่คุณกำลังคิดอยู่นั่นละ"
ในชีวิตของผู้หญิงหลายคน หลายห้วงเวลาที่พวกเธอมักค้นหาคำตอบในคำถามที่ว่า ผู้ชายคนนี้กำลัง
คิดอะไรอยู่หรือ ?
ปัญหาประจำวันหรือประจำชีวิตแต่งงาน อย่างหนึ่งนอกจากรายการอาหารบนโต๊ะก็คือ ทำอย่างไร จะสามารถเดินเข้าไปนั่งในกลางห้องหัวใจของผู้ชายที่เป็นสามี เหมือนกับอยากจะเปิดเข้าไปดูห้องหัวใจแต่ละห้องของเขา ว่ามีอะไรซุกซ่อนใต้เตียง หรือมีอะไรบางสิ่งซุกไว้ใต้พรมผืนเล็กหน้าเตียงนอน
ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องกล่าวโทษผู้ชายส่วนมากมักเป็นเด็กดื้อ
พวกเขาเป็นนักเล่นบท พระเตมีย์ใบ้ ไม่ยอมเปิดใจกับภรรยา ไม่ชอบบอกสิ่งที่อยู่ในความคิด หรือแม้กระทั่งความรู้สึกที่มีต่อกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะดีขึ้นหรือเลวร้ายลง ก็น่าจะอยู่ที่การสื่อความสัมพันธ์ ถ้าไม่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในไม่ช้าปลายทางก็คือ สถานะที่ชัดเจนว่า ไปด้วยกันไม่ได้ และนั่นก็คือ การแตกหักของชีวิตในครอบครัว
ผมเคยถามเพื่อนผู้ชายด้วยกันถึงเหตุผลในความดื้อ แต่ก็เหมือนขว้างลูกบอลไปในอากาศไม่เกิดแรงสะท้อนกลับมา
จากเพื่อนชายผมเร่ไปหาผู้หญิง และก็พอจับใจความได้บ้างในแต่ละวิธีการที่ผู้หญิงอยากเปิดห้องหัวใจของผู้ชายของเธอ
เป็นต้นว่า เธอแสดงให้เขารู้ว่า เขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอสนใจฟังคำพูดทุกๆ คำของเขา เรียกว่า เป็น
ผู้หญิงที่ฟังผู้ชายพูด ไม่ใช่เป็นผู้หญิงที่แย่งสามีพูดทั้งหมดทุกเรื่อง
ไม่ได้เป็นผู้หญิงแบบที่ผู้ชายในเรือนเดียวกันพูดอะไรแต่ละเรื่อง ไม่ได้สนใจฟังและไม่แคร์ว่ามันจะพูด
อะไร มันจะพูดอะไรก็ช่างมันเถอะ
แต่แสดงอย่างไร ? จึงจะให้เขารู้ว่าเธอแคร์ในเรื่องที่เขาพูด
"ฉันจะโอบเขาเบาๆ สบสายตากับเขาด้วยอาการที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด" เธอตอบ
อื้อฮือ...ถ้าผู้หญิงสามารถแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมชาติปรุงแต่ง โลกของผู้ชายคงจะ
งดงามขึ้นอีกมาก
ทุกวันนี้ ผมเห็นเพื่อนผู้ชายด้วยกันรายไหนก็รายนั้น บอกผมเหมือนกันทุกคนว่า
"กับเมียนะหรือ ฉันพูดได้คำเดียว ที่เหลือมันพูดทั้งหมด"
แค่สบสายตายังไม่พอเพียง หากต้องพยักหน้ารับคำหรือเลิกคิ้วเรียวงามของเธอ ในประเด็นที่เขายกคำถามขึ้นมา แสดงกิริยาที่บ่งบอกเต็มร้อยว่า เธอพร้อมที่จะรับฟังปัญหาของเขา ด้วยความอยากรู้ อยากช่วยแก้ไข หรืออย่างน้อยที่สุดอยากจะเข้าไปแชร์ความรู้สึกที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ เพื่อให้เห็นว่าระหว่างเรา 2 คนคือคนๆ เดียวกัน มีความสุขและความทุกข์ร่วมกันได้เสมอ
"นั่นเป็นเพียงบทที่หนึ่ง" ผู้หญิงคนนี้บอกผม "ยังมีวิธีถัดไป"
และเธอก็อ้างว่า ถ้าอยากนั่งในใจผู้ชายละก็ ต้องหัดนิสัยไม่เป็นผู้พิพากษา ไม่พิพากษาในทางที่เลวร้ายกับสามีก่อนจะวิจารณ์เรื่องอะไรก็ตามที่สามีกำลังพูดถึง หรือประจันหน้าอยู่ ต้องสรรหาคำวิพากษ์วิจารณ์ให้เหมาะสมไม่ใช่สวนพรวดพราดออกมา "คุณทำอย่างนั้นได้อย่างไร ?"
และก็ไม่ใช่ตวาดเสียงแหลม "ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ทำเด็ดขาด"
สองประโยคนี้ ถ้าแปลเป็นไทยเดิมก็คงแปลได้ว่า โง่เป็นกระบือ ละมัง ?
คงไม่มีผู้ชายคนไหนอยากเปิดใจกับคุณ ถ้าเขาคิดคำนวณล่วงหน้าแล้วพบว่า การเปิดใจของเขาจะต้องได้รับคำวิจารณ์อย่างรุนแรงจากคุณ หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่เขาปลงใจเชื่อสนิทว่า คุณต้องคว่ำกระดานลูกเดียว ถ้าเขาเปิดใจพูดกับคุณในสิ่งที่เขาคิด
แล้วผู้หญิงอย่างเธอทำอย่างไรกับปัญหานี้-ผมถาม
ก็ไม่ยากนะ ถ้าเราเปิดใจของเราให้กว้าง มอบเสรีภาพในการแสดงความคิดให้กับเขา เราไม่จำเป็นต้อง
เห็นด้วยกับทุกเรื่องของเขา
การแสดงของคุณต้องเป็นไปอย่างธรรมชาติ แล้วคุณจะประหลาดใจในผลที่เกิดขึ้น
ผู้หญิงบางคนชอบรักษาคำพื้นๆ ติดตัวเสมอ คำพื้นๆ คำนั้นคือ "ทำไม ?"
ทำไมอย่างโน้น ทำไมอย่างนี้ ทำไมต้องอย่างนั้น ทำไมต้องอย่างนี้ นี่คือปัญหาที่เป็นชนวนให้ผู้ชายไม่
อยากเปิดใจแสดงความคิดในสมองของเขา
อันที่จริงภาษาไทยว่า "ทำไม" เพียงคำเดียวไม่น่าจะเป็นคำที่โหดร้ายจากผู้หญิง หรือเป็นคำแสลงหู
สำหรับผู้ชายแต่น้ำเสียงที่ผสมกับคำว่า "ทำไม" นั่นละทำให้เกิดปัญหา ชวนให้ฟังดูเหมือนเป็นคำปฏิเสธ และเหมือนเป็นคำวิจารณ์ในทางลบ
แค่ถามว่า ทำไมคุณทำอย่างนั้นละ ? มันก็ฟังดูเหมือนคุณบอกว่า บ้าหรือดีคุณทำอย่างนั้นไปได้ยังไง
นะแต่ถ้าไม่ถามอย่างนั้น เป็นคุณ คุณจะถามอย่างไรหรือ ?
ช่วยบอกฉันให้มากกว่านั้นหน่อยได้ไหมคะคุณ ? อืม์
น่าฟังกว่านะ
ประการถัดมา ผู้ชายทุกคนมักจะเกิดอาการกลัวจนหัวหด ทันทีที่ได้ยินผู้หญิงของเขาพูดขึ้นมาเฉยๆ
"เราเห็นจะต้องพูดกันให้รู้เรื่องแล้วละ"
เมื่อไรก็ตามที่ผู้ชายเราได้ยินประโยคนี้จากเมีย เป็นอันว่า "เป็นเรื่อง"มากกว่า "ไม่เป็นเรื่อง"
สิ่งแรกที่ผู้ชายจะต้องคิดก็คือ เอ !...เราไปทำความผิดอะไรมาบ้าง ?
ฉิบ...ละกู !
ถ้าเป็นแบบนี้ ผมก็เห็นใจผู้ชายเพื่อนของผม มันคงปิดประตูหัวใจของมันก่อนการพูดจาจะเริ่มต้นด้วย
ซ้ำไปแล้วจะต้องแก้ไขอย่างไร ?
ก็ต้องหาวิธีที่นุ่มนวลลงกว่านั้น คงต้องหาช่วงเวลาที่เหมาะสม เป็นต้นว่า ระหว่างการทำครัวเบาๆ
ด้วยกัน หรือระหว่างปัดกวาดบ้านเรือนแบบเบาๆ ไม่ถึงกับดูดฝุ่นด้วยเครื่อง
ชั่วโมงที่ไม่เหมาะสมเลย ก็คือ วันจันทร์ วันที่สามีคุณเสียบอล หรือไม่ก็เสียม้าเมื่อวันอาทิตย์
ประการสุดท้าย เธอบอกผมว่า เธอสนใจในการรับฟังอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าทุกวิธีที่บอกมาทั้งหมดทำอย่างไรให้แลดูเรียบๆ เมื่อเราต้องฟังสามีเราพูด ว่าเราสนใจเรื่องที่เขาพูดถึง อย่าแสดงอะไรที่ให้เขารู้สึกว่า ถ้าเขาพูดจบเมื่อไร เขาจะต้องได้ยินคุณสวนกลับทันที หรือทำให้เขารู้สึกว่าคุณไม่ได้สนใจฟัง แต่กำลังคิดว่าจะอัดกลับยังไงดีมากกว่า
การมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติ นี่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเห็นเพื่อนผู้ชายของผมส่วนมากมักอยู่กับปัญหาอย่างเดียวกัน
และนั่นหมายถึง พวกเขาชอบที่จะขโมยเวลาไปหาความสุขนอกบ้าน
ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขามักจะเดินเข้ามาอยู่ในคลับเดียวกันเสมอ และนั่นก็หมายถึง แฟนคลับกับผู้หญิงอีก
คนที่ไม่ใช่เมีย !
เรื่องโดย : ไก่อ่อน
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77758