ชีวิตอิสระ(4wheels)
ค้นความงามของดอกไม้กับภูผาหิน
ชัยภูมิ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดินแดนแห่งท้องทุ่งดอกกระเจียวอันสวยงามเลื่องชื่อ และนับเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดแห่งหนึ่งในเขตภาคอีสาน มีเทือกเขาและทิวทัศน์ที่งดงามตระการตา อย่างเช่น ภูแลนคา ภูพังเหย ภูพญาฝ่อ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำชีที่อุดมสมบูรณ์ นี่แหละ...จึงเป็นสิ่งที่จุดประกายให้เรา กับ ฮอนดา ซีอาร์-วี 2.4 ไอ-วีเทค มุ่งหน้าค้นหาความงดงามตามที่ใครๆ กล่าวถึง
การเดินทางสู่ชัยภูมิในครั้งนี้ เราวางแผนว่าจะไปชมทุ่งดอกกระเจียวที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงามที่กล่าวกันว่าการไปทุ่งดอกกระเจียวช่วงเช้าจะสวยงามที่สุด แม้ดอกกระเจียวจะบานทั้งวันก็จริง แต่สิ่งดึงดูดที่สำคัญ คือ ม่านหมอกยามเช้าที่ปะปนอยู่กับทุ่งดอกกระเจียวอันลานตา จนกลายเป็น
คำฮิทติดปากที่ว่า "ไล่จับหมอก หยอกดอกกระเจียว"
บ่าย 3 โมงเย็นของวันศุกร์ เราเดินทางถึงที่พักที่จองไว้ให้ใกล้อุทยาน ฯ ที่สุด จุดประสงค์ คือ ตื่นแล้ว จะได้ไปทันหมอกในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น พวกเราคิดว่าอากาศของภาคอีสานน่าจะร้อนแน่ๆ แต่เมื่อถึง ที่พัก อากาศกลับเย็นสบายอย่างน่าประหลาด เมื่อได้พูดคุยกับเจ้าของบ้านพัก เขาบอกว่า อากาศที่นี่เย็นมาก และสิ่งที่จะขาดไม่ได้ คือ เครื่องทำน้ำอุ่น หาใช่เครื่องปรับอากาศเหมือนบ้านพักที่อื่นๆ
เช้าวันใหม่ในทุ่งกระเจียว
เสียงจากธรรมชาติยามเช้า ปลุกเราให้ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ และสิ่งที่เจ้าของบ้านบอกไว้ก็เป็นความจริง อากาศเย็นมาก
เมื่อฟ้าเริ่มสาง เราเดินทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อากาศในอุทยาน ฯ เย็นสบาย ดอกกระเจียวสีชมพูที่โตเต็มที่ กำลังบานสะพรั่งหยอกเย้ากับสายหมอกจางๆ เต็มพื้นที่ หลายคนมาทันตอนเช้า เพื่อมาดูไอหมอกหนาที่ปะปนอยู่กับดอกกระเจียวเหมือนเรา เดินอยู่ท่ามกลางดงดอกไม้ และมีสายหมอกลอยอยู่โดยรอบ ซึ่งน่าแปลกที่อากาศภาคอีสานจะมีหมอกหนาเกิดขึ้นขนาดนี้
เจ้าหน้าที่อุทยาน ฯ บอกเราว่า เมื่อดอกกระเจียวโรย หญ้าในอุทยาน ฯ ทั้งหมดจะแห้งตามไปด้วย ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ไฟป่ามักมาพอดี มันจะเผาหน้าดินออกไปบางส่วน เเละเมื่อถึงฤดูกาล ดอกกระเจียวก็จะบานอีก เทคนิค คือ ถ้าไม่เกิดไฟป่าขึ้นเอง เจ้าหน้าที่อุทยาน ฯ ก็จะลงมือเผา เพราะถ้าไม่เผา ดอกกระเจียวจะขึ้นเหมือนกัน แต่จะน้อยกว่า เพราะหญ้าที่ถูกเผาจะทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง
ภายในอุทยาน ฯ ยังมีจุดชมวิว "สุดแผ่นดิน" อยู่ทางทิศเหนือ เป็นแนวหน้าผาและชะง่อนหิน ถือเป็นจุดสูงสุดบนเทือกเขาพังเหย สูงจากระดับน้ำทะเล 846 เมตร ซึ่งเกิดจากการดันตัวของแผ่นดินภาคกลาง (อ่าวไทย) ซุกเข้าไปใต้แผ่นดินอีสาน (อินโด-ไชนา) ทำให้เกิดพื้นดินที่ยกตัวสูงชัน ถ้ามองจากจุดนี้ จะเห็นเขตรอยต่อของ 3 ภาค ได้แก่ 1. แผ่นดินซีกทางอุทยาน ฯ เป็นเขตของ จ. ชัยภูมิ (ภาคอีสาน) 2. แผ่นดินซีกทางตะวันตกของอุทยาน ฯ เป็นเขตของ จ. ลพบุรี (ภาคกลาง) และแผ่นดินซีกทางเหนือของอุทยาน ฯ เป็นเขตของ จ. เพชรบูรณ์ (ภาคเหนือ)
ชมอยู่ได้ไม่นานนัก ลมภูเขาที่แสนเย็นสบาย พัดมาแตะต้องผิวกายเบาๆ แต่นั่นก็ทำให้เราสะท้านเพราะความเย็นของมันได้เหมือนกัน
ด้วยความที่ยังเช้าอยู่ ทำให้ผู้คนที่มาท่องเที่ยวดูบางตา บรรยากาศภายในอุทยาน ฯ เลยดูไม่คึกคักเท่าไร เราเก็บภาพบริเวณทุ่งดอกกระเจียวได้สักพัก ก็ตัดสินใจกลับไปทานอาหารเช้ากันก่อน และจะกลับมาใหม่ในช่วงสาย โดยหวังว่านักท่องเที่ยวคงมากันมากขึ้น
10 โมงเช้า เราขับรถไปในอุทยาน ฯ กันอีกครั้ง และก็ไม่ผิดหวัง ผู้คนหนาตากว่าเมื่อเช้า พร้อมแสงอาทิตย์ที่ส่องมาให้พออุ่น
เมื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอด เราขับรถไปอีกฟากของอุทยาน ฯ เพื่อชมสิ่งมหัศจรรย์ให้สมชื่อ"ป่าหินงาม" ที่นี่มีหินรูปทรงแปลกตาที่เกิดขึ้นเองจากการกัดเซาะของน้ำตามธรรมชาติ สูงราว 1-2เมตร ห่างจากที่ทำการอุทยาน ฯ ไม่มากนัก แต่การชมต้องเดินเท้าเข้าไป โดยมีหินลักษณะเด่นอยู่ 5 ก้อน ระยะห่างระหว่างหินไม่มากนัก ส่วนเส้นทางเดินก็ไม่ยาก ไม่ง่าย
นอกจากอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม เรายังรู้ว่ามีหมู่บ้านมอญเล็กๆ ที่น่าสนใจ ลองสอบถามข้อมูลจากเจ้าของบ้านพักว่าชาวมอญในจังหวัดชัยภูมิที่เคยได้ยิน อยู่ที่ไหน เจ้าของบ้านพักใจดีบอกทางให้เรารีบตรงไปยังสถานที่นั้นทันที
ระหว่างทางที่จะไปยังหมู่บ้านมอญนั้น เราเห็นป้ายน้ำตกเทพนา อยู่ด้านหน้า ด้วยความที่อากาศร้อน จึงแวะไปรับไอเย็นจากน้ำตกแห่งนี้สักพัก น้ำตกแห่งนี้ถือเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำชี เลยทีเดียว แต่บัดนี้สภาพทรุดโทรมไปกว่าเเต่ก่อน ก่อนมาเจ้าของบ้านเล่าว่า คนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวก็เที่ยวกันอย่างเดียว ไม่ค่อยรักษา พวกเราเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านั้น สัดส่วนของคนเที่ยวกับคนรักษามันต่างกัน คนเที่ยวก็เที่ยวไป คนมีหน้าที่รักษาก็ดูแลกันไป
ตำนานชุมชน "ชาวดง"
ชาวดง เป็นชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่กันมานาน นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ มีความเชื่อว่าชาวดงเป็นชาวมอญผู้สืบเชื้อสายจากอาณาจักรทวาราวดี ในคริสต์ศตวรรษที่ 6-7 ที่ยังหลงเหลืออยู่ในป่าลึกแถบที่ราบสูงแถวโคราช และยังคงรักษาสืบทอดภาษา และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ชาวดง จะเรียกตัวเองรวมถึงภาษาที่ใช้ว่า "ญัฮกุร" (NIAKUAL) ซึ่งแปลว่า คนภูเขา "ญัฮ" แปลว่า คน "กุร" แปลว่า ภูเขา แต่ชาวไทยจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ชาวบน หรือ คนดง แต่ชาวญัฮกูรจะไม่ชอบให้เรียกแบบนั้น และจะเรียกตัวเองเป็นภาษาไทยว่า "คนดงและพูดภาษาดง"
อดีตชาวดง คนจิตใจงาม
ในหุบเขาอันเร้นลับ ยังมีชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ อาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง เป็นคนมอญในสมัยทวาราวดีเรียกตัวเองว่า ญัฮกุร (อ่านว่า อัน-ยะ-กุร) แต่คนภายนอกมักเรียกชาวบ้านกลุ่มนี้ว่า ชาวดง วิถีชีวิตจะเรียบง่าย สบายๆ เส้นทางที่ใช้เข้าหมู่บ้าน ยังเป็นถนนดินลูกรังสีแดง ตรงจุดนี้ดูว่าความเจริญคงยังเข้ามาไม่ถึง ฉะนั้นเมื่อเรามาถึง ชาวบ้านต่างออกมาต้อนรับด้วยความสนใจ เพราะถือว่าเราเป็นคนต่างถิ่น ชาวบ้านที่พอพูดภาษากลางได้บ้าง เข้ามาทักทายด้วยความเป็นมิตร เราบอกเหตุผลและจุดหมายที่ต้องการว่าทำไมจึงมาที่นี่
จุดหมายของเรา คือ การมาพบชาวบ้านที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมของ ญัฮกุร อย่างแท้ และเป็นวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมอยู่ในขณะนี้
ผู้เฒ่า...แห่งญัฮกุร
บ้านหลังคามุงจากเล็กๆ หลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลทางเข้าหมู่บ้านนัก ซึ่งเป็นที่พักพิงของชายสูงอายุที่สุด ในหมู่บ้าน ผู้เฒ่าคนนี้ ดูท่าทางแข็งแรงกว่าอายุจริง แกกำลังเหลาไม้เพื่อนำไปทำภาชนะ และพูดภาษากลางไม่ได้ แต่พอฟังได้บ้างเล็กน้อย ชายที่นำทางเรามา คอยช่วยเป็นล่ามให้พูดคุยกับผู้เฒ่า
มีติดขัดบ้าง เรียกเสียงหัวเราะได้ครึกครื้นสนุกสนาน
การใช้ชีวิตของผู้เฒ่าคนนี้ ยังคงใช้ชีวิตแบบชาวญัฮกุรแท้ๆ เลยก็ว่าได้ ทั้งการใช้ภาษา การดำรงชีวิตเทคโนโลยีกับผู้เฒ่า ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ การหุงหาอาหารแกยังคงใช้วิธีเดิมๆ ชายที่นำทางเล่าว่า แกไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แกมีลูกมีหลาน ลูกๆ ชวนไปอยู่ในบ้านที่แข็งแรงมากกว่านี้ แต่แกก็ไม่ยอมไป
เพราะแกรักและหวงบ้านหลังนี้มาก ขอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหน ลูกหลานก็จนใจ เลยได้แต่ดูอยู่ห่างๆ พี่ชายคนนำทางเล่าต่อไปว่า แกไม่เคยเจ็บป่วยเลยสักครั้งเดียว น่าแปลก...เพราะเราแอบมองเห็นซองยาเส้นทำลายปอด แอบซุกไว้บนขื่อบ้าน แต่ก็เอาล่ะ อากาศที่บริสุทธิ์ น่าจะช่วยยืดอายุคนเราได้จริงๆ
ขณะนี้ รถของพวกเราเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้าน เด็กๆ ยังวิ่งมาส่งเราจนลับตา และมองมาด้วยแววตาห่วงหาอาลัย
อำลา..ชัยภูมิ
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในวันนั้นแล้ว เรากลับมาพักผ่อนอีกครั้งที่บ้านหลังเดิม เพิ่งสังเกตว่า บ้านพักแต่ละหลังมีชื่อด้วย ปรากฏว่าเราได้พักที่ "บ้านกาลครั้งหนึ่ง"
สมกับชื่อบ้านทีเดียว เพราะเราตั้งใจจะจดจำไว้อยู่แล้วว่า ครั้งหนึ่งที่มาที่นี่ เราได้พบบรรยากาศแสนสวย อย่างทุ่งดอกกระเจียว และคนดีจิตใจงาม เช่น ชาวญัฮกุร
ขอขอบคุณ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด สนับสนุนการเดินทาง
ที่พัก : ไร่เอ๋ยฝุ่น
ที่ตั้ง : โรงเรียนบ้านหนองใหญ่ ต. บ้านไร่ อ. เทพสถิต จ. ชัยภูมิ 36230
บรรยากาศ : บ้านพักบนไหล่เขาลดหลั่นไล่ระดับเพื่อรอรับปุยหมอก และไอเย็น จากยอดไม้
ติดอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
ราคา : 1,200-3,000 บาท
ติดต่อ : โทร. 08-1936-4279, 08-4025-5293
ข้อมูลการเดินทาง
รถยนต์ : จังหวัดชัยภูมิ อยู่ห่างจากกรุงเทพ ฯ ประมาณ 343 กิโลเมตร ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1
(ถนนพหลโยธิน) ถึงสระบุรี แยกขวาไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) แล้วแยกซ้าย
เข้าทางหลวงหมายเลข 201 ที่อำเภอสีคิ้ว ผ่านอำเภอด่านขุนทด อำเภอจัตุรัส เข้าสู่จังหวัดชัยภูมิ
อีกเส้นทาง คือ จากกรุงเทพ ฯ ไปตามถนนพหลโยธิน ผ่านสระบุรี ถึงแยกพุแค แยกเข้าทางหลวง
หมายเลข 21 ถึงอำเภอชัยบาดาล จากนั้นเดินทางตามทางหลวงหมายเลข 205 ผ่านอำเภอเทพสถิต
อำเภอจตุรัส เข้าสู่จังหวัดชัยภูมิ
รถไฟ : จากสถานีรถไฟหัวลำโพง มีรถด่วน รถเร็ว สายกรุงเทพ ฯ-หนองคาย บริการทุกวัน โดยลงที่
สถานีบัวใหญ่ จากนั้นต่อรถโดยสารประจำทางไปจังหวัดชัยภูมิ อีก 51 กม. สอบถามรายละเอียด
เพิ่มเติมได้ที่ หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690, 0-2223-7010,
0-2223-7020 หรือ www.railway.co.th
รถโดยสารประจำทาง : บริษัท ขนส่ง จำกัด มีบริการเดินรถ สายกรุงเทพ ฯ-ชัยภูมิ ทุกวัน
ใช้เวลาเดินทาง 5 ชม. ครึ่ง โทร. 0-2936-2852-66
เรื่องโดย : ปาจรีย์ ทัศนาญชลี
ภาพโดย : ธีรวิทย์ โตจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77571