ร่มไม้ชายศาล
"ยืมรถเจ้าของซวย"
สาเหตุที่ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างคนคอหยักๆ นั้นมีมากมายก่ายกอง พวกที่อ้างตัวว่าเป็น
นักการเมืองหน้าสลอนตามจอทีวีในเวลานี้ ซึ่งอันที่จริงมันไม่ใช่ เพราะไม่ได้เข้ามาในแบบขัน
อาสารับใช้ชาติบ้านเมืองและประชาชน แต่เป็นนักธุรกิจการเมืองอย่างเต็มตัว ยึดเป็นอาชีพ
เอาสภาเป็นแหล่งทำมาหากิน ก็เป็นอีกพวกที่ขยันสร้างความขัดแย้งตลอดเวลา น่าเบื่อหน่าย
เอือมระอา ดังที่เห็นกันอยู่ ไม่รู้เมื่อไหร่คนไทยจะรู้จักกาชื่อไว้ แล้วผลักไสคนเหล่านี้ให้พ้นจาก
เวทีการเมืองเสียที
ครับสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้นมา คือ การ "หยิบยืมรถยนต์ไปใช้" นี่คือ
เรื่องจริง ทุกครั้งที่มีการยืมรถ ปัญหาก่อขึ้นทันที เริ่มจากเจ้าของรถทุกรายเกิดความไม่สบายใจ
เกิดความเป็นห่วง ว่าจะได้รถคืนมาในสภาพอย่างไร มีเหตุด่วนเหตุร้ายเกิดขึ้นหรือไม่
เพราะรถเป็นวัตถุเคลื่อนที่ มีแรงปะทะ ไว้ใจได้เสียเมื่อไหร่
เคยมีอาจารย์หญิงรายหนึ่งอีเมล์มาปรับทุกข์ บอกว่าขณะที่เจ็บป่วยไปไหนไม่ได้ แต่จำ
เป็นต้องให้คนอื่นนำรถของเธอไปใช้สอย ทำธุระ จึงเกิดความทุกข์ เกรงว่ารถไปเกิดอุบัติเหตุ
หรือมีการนำรถไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย แล้วพัวพันถึงเจ้าของ ขอคำแนะนำ ผมจึง
แนะให้เธอใช้วิธีจ้าง หรือเหมารถของคนอื่นมาใช้งาน มีรถสารพัดให้จ้างนี่นา เจ้าตัว
จึงถึงบางอ้อ และโล่งอก บอกว่าโง่อยู่ตั้งนานสองนาน ยังงี้ก็มี
ขณะที่ผู้หยิบยืมก็ใช่ว่าจะไม่เป็นทุกข์ หวั่นเกรงว่ารถที่นำไปใช้จะเกิดการเสียหาย
หรือแม้กระทั่งสูญหาย หรือมีปัญหาข้อขัดข้องต้องซ่อมแซมชดใช้ แต่มีเหมือนกันที่ฉวย
โอกาสยำรถของคนอื่น คิดว่าไม่ใช่สมบัติของตัวเอง แทนที่จะใส่ใจรักษาให้เขา
มาดูคดีที่เกิดจากการยืมรถไปใช้งาน แล้วศาลต้องออกเหงื่อหลายจอกตัดสินคดี
เป็นรถของหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ในสำนักงาน อันได้แก่
"นายรู้จัก" ทำหนังสือขอยืมอย่างดิบดี อ้างว่านำไปใช้ตรวจเยี่ยมชาวบ้าน ตามมติของ
ที่ประชุมในแผนก
ถึงคราวซวย เกิดการเฉี่ยวชนกับรถที่ "นายช่วยเหลือ" ขับสวนทางมา รถเสียหายเยอะ
หน่วยงานเจ้าของรถต้องเสียเงินซ่อมไปหลายแสนบาท เพราะในระหว่างที่ไม่ได้ฟ้องร้อง
ทั้งนายรู้จัก และนายช่วยเหลือ พากันเมิน ไม่มีใครรับผิดชอบ เพราะเป็นเรื่องเสียสตางค์
จึงพากันชิ่งตามธรรมเนียมไทยๆ
ศาลต้องออกเหงื่ออย่างที่บอก หน่วยงานเจ้าของรถตั้งตัวเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายรู้จัก
คนของตัวเอง กับนายช่วยเหลือ เจ้าของรถคันที่มาก่อเหตุ อ้างว่างานนี้บุคคลทั้งสอง
ประมาททั้งคู่ โดยเฉพาะนายรู้จักนั้นทะลึ่งมาก โกหกว่ามีมติที่ประชุม ขอยืมรถ
ของทางราชการไปใช้งานส่วนตัว ขอให้ร่วมกันรับผิด จ่ายค่าเสียหาย 5 แสนกว่าบาท
พร้อมดอกเบี้ย
นายรู้จัก จ้างทนายสู้คดี ให้การว่า ตนเองยืมรถไปจริง แต่ใช้งานตามปกติ ไม่ได้
ประมาทแม้แต่นิดเดียว จึงไม่ต้องรับผิดอะไร ขอให้ยกฟ้อง
นายช่วยเหลือ นั้นคงจะช่วยเหลือตนเอง หรือใครไม่ได้ จึงอยู่เฉยๆ ไม่สู้คดี ไม่ทำ
อะไรทั้งนั้น
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าเสียหาย 3.5 แสนบาท พร้อม
ดอกเบี้ย
นายรู้จัก นั้นรู้จักเอาตัวรอด ให้ทนายยื่นอุทธรณ์ ยืนยันว่างานนี้ตนไม่ได้ขับรถประมาท
นายช่วยเหลือ นั่นแหละชุ่ยฝ่ายเดียวจนเกิดเรื่องขึ้น ตนเองจึงไม่ต้องจ่าย
ศาลอุทธรณ์เล็งดูคดีนี้เป็นด่านที่สอง แล้วมองเห็นว่า นายช่วยเหลือ นั่นแหละขับรถ "ซิ่ง"
ไปชนรถที่นายรู้จักขับสวนทางมา จึงพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องนายรู้จัก เกณฑ์ให้
นายช่วยเหลือ จ่ายแบบฉายเดี่ยว ส่วนจะมีจ่ายหรือไม่ เจ้าของรถต้องออกเหงื่อเอาเอง
โจทก์ คือ หน่วยงานเจ้าของรถอยู่ไม่ได้ เพราะรู้ว่า ถ้าจะได้ค่าเสียหาย ต้องต้อนนายรู้จัก
ให้อยู่หมัดแพ้คดี เพราะรู้จักว่านายรู้จักมีฐานะพอที่จะจ่ายค่าเสียหายได้ ลำพังนายช่วยเหลือ
นั้นไม่มีทางช่วยเหลือใคร เอาตัวเองยังไม่รอด ชนะคดีคงจะได้แต่ลม จึงยื่นฎีกา ยืนยันว่า
นายรู้จัก ซึ่งมดเท็จอ้างราชการยืมรถในหน่วยงานไปใช้แบบนี้ แล้วเกิดเรื่องขึ้นขณะรถ
อยู่ในครอบครองของนายรู้จัก ไม่สามารถส่งคืนรถในสภาพเดิม เจ้าของรถกัดฟัน
ซ่อมหมดไปหลายแสน นายรู้จักที่ยืมรถไปต้องรับผิดทางแพ่ง ต้องจ่ายอย่างหนีไม่พ้น
ศาลฎีกาลูบคลำคดีนี้อย่างพิถีพิถัน แล้วชี้ขาดตามพยานหลักฐานในสำนวนออกมาว่า
การยืมรถไปใช้งานของนายรู้จัก ตามกฎหมายแพ่ง เขาเรียกว่า "ยืมใช้คงรูป" หมายถึง
ยืมอะไรไปก็นำไอ้นั่นมาคืนให้มันอย่างเดิม ของเดิม หรือรูปเดิม ต่างจากการยืมสิ่งของอื่นๆ
ที่ไม่ต้องคืนของเดิม อย่างเช่น ยืมเกลือยืมน้ำตาลยืมสตางค์ ซึ่งทางกฎหมายเขาเรียกว่า
"ยืมใช้สิ้นเปลือง" หมายถึง ยืมเอาไปใช้แล้ว หาสิ่งของชนิดเดียวกันมาคืน ถือว่าโอเค
การยืมใช้คงรูป มีแง่ตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 643 กำหนดไว้ว่า ผู้ยืมต้องรับผิด
ต่อผู้ให้ยืมเฉพาะแต่ในกรณีที่ผู้ยืมเอาทรัพย์ที่ยืม ไปใช้ในการอย่างอื่น นอกจากการ
อันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคล
ภายนอกใช้สอย หรือเอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ เมื่อไม่ปรากฏเหตุดังกล่าว และ
ในวันเกิดเหตุนายรู้จัก เป็นผู้ขับรถที่ยืมด้วยตนเอง ไปเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ อันเป็น
การใช้ทรัพย์ที่ยืมเป็นปกติตามที่ได้ขออนุญาตจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของ เหตุรถ
เฉี่ยวชนกันไม่ใช่ความผิดของนายรู้จัก แต่เป็นความผิดของนายช่วยเหลือ
ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก นายรู้จักจึงไม่ต้องรับผิดในงานนี้ ตามที่ศาลอุทธรณ์ว่าไว้นั่นแหละ
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน ให้นายรู้จักเด้งเชือกรอดตัวไปในที่สุด
คดีนี้แจงให้เห็นถึงความรับผิดของผู้ที่ยืมรถไปใช้ได้อย่างแจ่มชัด ให้แฟนๆ ยึดถือ
เป็นแนวทางได้
ถามว่า คนที่ให้เขายืมรถอย่างรายนี้ตกที่นั่งซวย ไม่ใช่หรือเจ๊ ก็คงงั้นแหละ จึงเป็นบท
เรียนแก่เจ้าของรถพอสมควร
มีทางออกเหมือนกัน ทำสัญญามัดไว้เป็นพิเศษ ถ้ารถที่ยืมไปเกิดความเสียหายไม่ว่า
กรณีใด ผู้ที่ยืมต้องชดใช้ค่าเสียหาย ยังงี้ถือว่าโอเค เมื่อเบี้ยวบิดสัญญาก็ฟ้องร้อง
บังคับได้ ไม่หน้าแห้งลงจากศาลเหมือนเจ้าของรถในคดีนี้
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7416/2548
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77226