เล่นท้ายเล่ม
หลวงพ่อปัญญา
วันที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ เป็นวันที่วงการพระพุทธศาสนาแห่งโลกได้สูญเสียพระอริยสงฆ์
สำคัญ เป็นการมรณภาพของ พระพรหมมังคลาจารย์ หรือหลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ
แห่งวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
หลวงพ่อปัญญา มรณภาพด้วยปอดอักเสบและไตวาย ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเวลา 9
นาฬิกาของวัน "ดับเบิล เทน" คือ วันที่ 10 ตุลาคม 2550
ท่านเกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2454 สิริอายุรวม 96 ปี และท่านบรรพชาเป็นพระเมื่ออายุ 20
ปี จึงรวมพรรษาได้ 76 พรรษา
ข้าพเจ้าเชื่อว่า พุทธศาสนิกชนหลายท่านมีคติคล้ายกับข้าพเจ้า คือ เป็นคนที่ไหว้พระยากสัก
หน่อย ด้วยเหตุที่กราบไหว้นมัสการพระสงฆ์ด้วยความศรัทธาอย่างจริงใจแล้ว หาพระอริยสงฆ์
ที่เพียงพอต่อการกราบไหว้นั้นค่อนข้างยาก
ยิ่งในโลกสมัยนี้ พระอริยสงฆ์สมควรแก่การกราบไหว้นมัสการยิ่งหายากเป็นหลายเท่า
หลวงพ่อปัญญา เป็นคนเกิดที่พัทลุง ชื่อเดิมของท่าน คือ "ปั่น เสน่ห์เจริญ" เริ่มบวชเป็น
สามเณรที่วัดอุปปนันทนาราม จังหวัดระนอง เมื่ออายุ 18 ปี
ส่วนการบวชเป็นพระ ท่านบวชที่วัดนางลาด อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
เมื่อบวชเป็นพระแล้ว หลวงพ่อปัญญาได้เดินทางไปศึกษาธรรมในสถานที่ปฏิบัติธรรมหลาย
จังหวัด ทั้ง นครศรีธรรมราช สงขลา และที่กรุงเทพ ฯ อันเป็นจังหวัดที่มีสำนักเรียนธรรมะ
หลวงพ่อปัญญาสนใจในเรื่องธรรมะ มีความรู้ในเรื่องของธรรมะจนสามารถสอบได้
นักธรรมชั้นตรีเป็นที่ 1 ของสังฆมณฑลภูเก็ต และต่อมาก็สอบได้ทั้งนักธรรมชั้นโท
และชั้นเอก ในปีถัดมาที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
หลังจากนั้น ท่านก็มาสอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค ที่วัดสามพระยา กรุงเทพ ฯ เมื่อท่าน
เข้ามาศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาบาลี
ขณะเวลานั้น ญี่ปุ่นเคลื่อนกองทัพขอผ่านประเทศไทย เพื่อสร้างทางรถไฟผ่านพม่าไป
ตีอินเดียเมืองขึ้นของอังกฤษ จนกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 กรุงเทพ ฯ ถูกระเบิด ผู้
คนพากันอพยพไปอยู่ต่างจังหวัดกันเป็นส่วนใหญ่
หลวงพ่อปัญญาจำเป็นต้องยุติการแสวงหาความรู้ทางด้านธรรมะ ถือเป็นการเว้นวรรคชั่วคราว
พร้อมกับเดินทางกลับภูมิลำเนาของท่านที่พัทลุง
การเว้นวรรคหาความรู้ของท่านไม่ได้ทำให้หลวงพ่อปัญญากลายเป็นคนว่างงาน เพราะท่าน
ใช้เวลายามนี้ศึกษาทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาจีน เดินทางไปแสดงธรรมะที่รัฐปีนัง ใน
ประเทศมาเลเซีย
สำหรับประวัติของหลวงพ่อปัญญาที่เกี่ยวกับการเดินทางไปต่างประเทศอย่างจริงจัง เริ่ม
แต่ปี 2475 เมื่อหลวงพ่อเดินทางไปพม่า ร่วมกับสหายธรรมชาวอิตาลี ชื่อ พระโลกนาถ
ระหว่าง 2 ปี '75 และ '76 หลวงพ่อปัญญาได้มีโอกาสเดินทางไปในหลายประเทศ จนได้
ชื่อว่า เป็นพระสงฆ์ไทยรูปแรกที่ไปแสดงธรรมในประเทศต่างๆ ของทวีปยุโรป
และในระหว่างปี 2477 นั้นเอง หลวงพ่อปัญญาก็ได้สหายธรรมสำคัญ ที่วัดสวนโมกขพลาราม
อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี นั่นคือ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้จำพรรษาที่นั่น และสร้างความ
เข้าใจกับพระพุทธศาสนาตลอดจนหลักธรรมอันแท้แจริง เพื่อการเผยแพร่อย่างทะลุกว้างขวาง
ต่อมาในปี 2492 หลวงพ่อปัญญาได้รับอาราธนานิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่วัดอุโมงค์ จังหวัด
เชียงใหม่ และท่านได้เริ่มแสดงธรรมทุกวันอาทิตย์ และทุกวันพระ ที่พุทธนิคม ในจังหวัด
เชียงใหม่
การแสดงธรรมของท่าน ใช้รถติดเครื่องขยายเสียง สัญจรไปถึงชาวบ้านต่างตำบล และคน
ภูเขาต่างภูเขาอีกหลายแห่ง ได้รับความสนใจ และเรียกขานท่านว่า "ปัญญานันทะ" แต่นั้น
มา
เป็นห้วงเวลาตอนนี้เองที่หลวงพ่อปัญญาได้ก่อตั้งมูลนิธิ "เมตตาศึกษา" ที่วัดเจดีย์หลวง
จังหวัดเชียงใหม่
การที่ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปากเกร็ด นนทบุรี เกิดขึ้นในปี 2503
กาลครั้งนั้นเป็นปี 2502 มล. ชูชาติ กำภู เมื่อครั้งยังเป็นอธิบดีกรมชลประทาน ได้มีโอกาส
ขึ้นไปเชียงใหม่ และได้พบกับหลวงพ่อปัญญา เกิดความประทับใจลีลาการแสดงธรรมใน
แนวใหม่ของหลวงพ่อเป็นอันมาก
ประจวบเหมาะกับกรมชลประทานได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่วัดหนึ่งในตำบลบางตลาด เขตอำเภอ
ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ชื่อวัดชลประทานรังสฤษดิ์
มล. ชูชาติ กำภู จึงได้กราบนมัสการหลวงพ่อปัญญา อาราธนานิมนต์ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสให้
กับวัดชลประทานนับแต่ปี 2503
หลวงพ่อปัญญาได้ดำเนินการเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยเป็นนักปฏิวัติรูปแบบการเทศนา
จากการอ่าน ใบลาน มาเป็นการแสดงปาฐกถาธรรมปากเปล่า เป็นการยืนพูดกับไมโครโฟน
ต่อหน้าสาธารณชน
น่าจะเรียกได้ว่า เป็นรายการ การแสดงสด ที่อร่อยมากกว่าคอนเสิร์ท
รูปแบบนี้ ท่านได้รับการต่อต้านในชั้นแรก แต่ในที่สุดก็สามารถครองใจผู้ฟังธรรมทั้งหลาย จน
หลวงพ่อปัญญาต้องใช้เวลาว่างแสดงธรรมผ่านทางสถานีวิทยุ และสถานีโทรทัศน์หลายต่อ
หลายครั้ง
ในด้านต่างประเทศ หลวงพ่อปัญญาได้เดินทางไปในสถานที่หลายประเทศรวมทั้งมหาประเทศ
อย่างสหรัฐอเมริกา และเครือจักรภพอังกฤษ ตลอดจน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
หลวงพ่อปัญญาได้กลายเป็นพระมหาเถระสำคัญอีกรูปหนึ่งของประเทศไทย เป็นผู้สร้างงาน
ต่างๆ ไว้เป็นอันมาก ทั้งในด้านพระพุทธศาสนา สังคมสงเคราะห์ และในด้านวิชาการ
คำสอนของหลวงพ่อปัญญา เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย แต่ลึกซึ้งด้วยหลักธรรม และอุดมการณ์อัน
มั่นคงของพระรัตนตรัย
หลวงพ่อได้รับรางวัลในด้านเกียรติคุณอย่างมากมาย สมกับที่ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ในระดับ
สำคัญ
ขณะที่หลวงพ่อปัญญาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ก่อนมรณภาพในวัยวุฒิ 96 ปีนั้น
คุณสังสรณ์ เสน่ห์เจริญ อายุ 76 ปี เป็นหลานปู่ของหลวงพ่อปัญญา ซึ่งเป็นผู้ติดตามหลวงพ่อ
มาตั้งแต่ 3 ขวบ ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมหลวงพ่อ
หลวงพ่อยังพูดติดตลกกับคุณสังสรณ์ว่า มียมบาลมาพบ และยมบาลบอกว่า พระรุ่นเดียวกับ
ท่านไม่มีใครอยู่กันแล้ว เหลือแต่ท่านองค์เดียว
หลวงพ่อปัญญา เป็นพระที่มุ่งมั่นในหลักการของความพอเพียง ไม่ปรารถนาในความฟุ่มเฟือย
การสวดพระอภิธรรมศพที่วัดชลประทาน ฯ น่าจะเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นความเรียบง่าย
เพราะแตกต่างจากวัดพุทธอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
ข้าพเจ้าเคยมีโอกาสไปฟังสวดพระอภิธรรมศพหลายครั้ง พบว่า การสวดเริ่มเวลาหนึ่งทุ่มตรง
ไม่อนุญาตให้มีเวลาพักสำหรับญาติโยมเจ้าภาพรับประทานอาหารระหว่างสวด จบแล้วปิด
ศาลาทันที ไม่เอ้อระเหยยืดยาว
หลวงพ่อปัญญา เป็นประธานหาทุนในการสร้างตึก "80 ปีปัญญานันทะ" ที่โรงพยาบาลชลประทาน
รังสฤษดิ์ ในปี 2533 และยังเป็นประธานหาทุนสร้างวัดปัญญานันทาราม ที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่ง
กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ปี 2515 หลวงพ่อปัญญาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธธรรม ในเมือง ชิคาโก สหรัฐอเมริกา
เมื่อหลวงพ่อปัญญามรณภาพลง ปรากฏว่า ท่านไม่มีมรดกเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว เว้นแต่ท่านได้ทิ้ง
มรดกหนึ่งอันสำคัญอย่างยิ่งกับโลก เรียกว่า "มรดกธรรม 5 ประการ" อันได้แก่
"คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี และไปในสถานที่ดี"
มรดกธรรมนี้ หากญาติธรรมคนใดพิจารณาให้ถ่องแท้ จะได้กุศล และนานาบุญอย่างพูดไม่ถูก
ทีเดียว
เรื่องโดย : บรรเจิด ทวี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : เล่นท้ายเล่ม
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77203