ชีวิตคือความรื่นรมย์
ด้วยรักและคิดถึง
อยู่ในโลกมานาน รู้สึกว่าวันเวลามันติดปีกบินเร็วเหลือเกิน เพิ่งยิ้มรับเพลงปีใหม่กลิ่นอายยังไม่
ทันจาง ไม่ทันไรปีหมูก็จะจากไป ให้ปีหนูเข้ามาแทนที่เสียแล้ว ช่างผิดกับตอนเล็กๆ ที่ตั้งท่าว่า
รอให้โตกว่านี้เถอะ จะทำโน่นจะทำนี่ให้สมใจอยาก
เช่น จะกินขนมจีนให้หนำใจอยากเชียว กินได้นิดเดียวหมดแล้ว เงินจะซื้อกินก็ไม่ค่อยจะมี แต่
พอโตแล้ว กินไปนิดเดียวก็ปวดท้องเสียแล้ว
หรือจะตั้งปณิธานว่า โตกว่านี้เถอะมึง ถ้ามีเงินพอ พ่อจะซื้อโอเลี้ยงใส่ขันลงหินเบ้อเริ่มให้สม
ใจอยากเชียว เพราะตอนเด็กๆ หาน้ำแข็งกินก็ยาก จะกินโอเลี้ยงที ผู้ใหญ่ก็ว่าเด็กๆ กินกาแฟ
มากไม่ดี เดี๋ยวนอนไม่หลับ แต่พอโตขึ้นมา มีเงินเดือนพอซื้อ โอเลี้ยงก็กลายเป็นของล้าสมัย
ไปแล้ว
30 ปีหลังนี้ พบแต่คำว่า "เพื่อนกินหายาก เพื่อนตายหาง่าย" ตรงข้ามกับกระทู้ "เพื่อนกินหา
ง่าย เพื่อนตายหายาก" ในโคลงโลกนิติที่ท่องได้ขึ้นใจจากเรื่อง นิทราชาคริต พระราชนิพนธ์
ของล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ 5 เสียแล้ว
เมื่อคนที่เราเคารพ-รักจากไป เป็นธรรมดาที่เรารู้สึกทั้งรักและอาลัย ยิ่งเป็นคนดี ยิ่งมีคนรัก
และอาลัยมาก เราผู้อยู่ข้างหลังก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความรู้สึกออกมา มากๆ แม้แต่
หนังสือที่คนเขียนอาลัยภายหลัง ก็พลอยกลายเป็นทรัพย์สินมีค่าที่คนอยากอ่านอยากได้ จึงไม่
แปลกที่หนังสือที่ระลึกพระราชทานเพลิงศพคุณสุวัฒน์ วรดิลก และคุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี
สองศิลปินแห่งชาติผู้มีชื่อเสียง มีคนรักใคร่และรู้จักมาก จะไม่เพียงพอแจก ทั้งๆ ที่เจ้าภาพ
และสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติต่างสำเหนียกและเตรียมไว้มากแล้ว ก็ยัง
ไม่เพียงพอแก่ผู้ที่เรียกร้องภายหลัง ทั้งยังทำให้แหล่งขายหนังสือหายาก (โดยฝีมือของแกงค์
มืออาชีพล่าหนังสืองานศพ) ขายได้ราคาเป็นพันๆ บาท
แต่ละปีที่จะจากไป ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะรำลึกถึงคนที่เคารพ-รักจากไป ลองนึกเฉพาะเพื่อน
นักกลอนร่วมสมัยที่เคยร่วมกิจกรรมกันมา ก็ใจหายเหลือแล้ว เช่น สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์
เจ้าของบทกลอนที่กลายมาเป็นเพลง "จากเจ้าพระยาถึงฝั่งโขง" ที่ ธานินทร์ อินทรเทพ ร้อง
ไว้จับใจ "แม้อยู่ห่างต่างถิ่นแผ่นดินไหน ถ้าวันใดคิดถึงถิ่นแผ่นดินสยาม จงมองดาวพราว
พร้อยลอยฟ้าคราม เพราะทุกยามฝากใจไว้กับดาว ดังสำเนียงเสียงเพื่อนเตือนมาว่า ทุก
เวลาห่วงหวงกับห้วงหาว คืนฟ้าหมองเดือนดับแสงวับวาว ก็ยังพราวโชติช่วงในดวงใจ คือ
สำเนียงเสียงสั่งจากฝั่งโขง ผ่านรอบโค้งฟ้ากว้างสว่างไสว เคลียสายลมพรมกรุ่นละมุนละไม
เหมือนเสียงไห้เจ้าพระยาที่อาวรณ์" ฟังครั้งไรก้อนสะอื้นและน้ำตาพาลจะรื้นขึ้นมาจนจุกอก
คงจะตรึงใจคนรักเพลงไทยสากลรุ่นก่อนเก่าไปอีกนาน
เช่น วิจิตร ปิ่นจินดา หรือเจ้าของนามปากกา เจษฎา วิจิตร เจ้าของกลอนรักที่ว่า "ถ้าไม่รัก
เธอได้จะไม่รัก จะยอมหักเหใจไปเป็นอื่น" ผู้ริเริ่มชักชวนเพื่อนๆ มาตั้งกลุ่มเป็น "ชมรมนัก
กลอน" เมื่อ วันที่ 4 ตุลาคม 2502 จนกลายมาเป็นสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทยในวันนี้
หรือสวัสดิ์ ธงศรีเจริญ เจ้าของวรรคกลอนที่กลายมาเป็นเพลง "ฝากหมอน" ให้บุษยา รังสี
ร้องไว้กรีดใจชวนสะอื้นนัก ว่า "คืนวันนี้ถ้าพี่นอนหนุนหมอนน้อย ใจจงคล้อยคิดถึงน้องเจ้า
ของหมอน รอยแก้มนิ่มริมเขนยน้องเคยนอน หนาวหรือร้อนหมอนคงเอื้ออุ่นเจือจุน น้องเคลีย
แก้มเกลือกไว้ก่อนให้พี่ ซ้ำกราบที่กลางหมอนเคยนอนหนุน ยามพี่แนบหน้านอนหมอนละมุน
จงหอมกรุ่นแก้มและกราบกำซาบทรวง'" ใครจะรู้บ้างว่ากลอนที่แสนซึ้งนี้เกิดจากความรู้สึก
อเนจอนาถใจในคืนวันย้ายเข้าไปบ้านเช่ากับ สนธิกาญจน์ เพื่อนรักนั้น สองสหายไม่มีหมอน
หนุน ต้องเอาหนังสือเล่มหนาๆ มาใช้ผ้าเช็ดตัวห่อหุ้มเอาไว้หนุนนอน นอกจากนี้เขายังฝาก
อีกหลายเพลงให้คิดถึง ไม่ว่าจะเป็น หยาดฝนแห่งความรัก หงส์สะบัดบาป ด้วยรักและคิดถึง
ฯลฯ
หรือ โกวิท สีตลายัน นักกลอนฝีมือดีเจ้าของสำนวน "จะกรองน้ำคำหวานจารสนอง บนลาน
ทองของกวีศรีสยาม แม้ข้าดับรูปเสียงขอเพียงนาม ได้งดงามยงอยู่คู่แผ่นดิน" นักทำหนังสือ
เกี่ยวกับแวดวงบันเทิงเก่าแก่ที่สุด ( ตุ๊กตาทอง ) ขณะที่ยังนุ่งกางเกงขาสั้นอยู่ ณ โรงเรียน
กรุงเทพคริสเตียน ผู้เดินออกจากคณะอักษรศาสตร์ ทั้งๆ ที่อยากได้ปริญญาอักษรศาสตร์
เป็นของขวัญให้พ่อแม่...ทั้งๆ ที่รักคณะและคนในคณะนั้นอย่างสุดหัวใจ เพื่อจะได้ไป
รับปริญญาเอกจากชีวิตการเป็นนักเขียนและคอลัมนิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ของหนังสือพิมพ์ใหญ่
ที่สุดของเมืองไทย
เพียงคิดถึงเพื่อนสี่คนนี้ ความคิดและความทรงจำก็กระเจิดกระเจิง ตอนที่เพื่อนสี่คนนี้
จากไป ผู้เขียนเขียนกลอนไม่ออกเพราะมีเรื่องที่ต้องพูดถึงแต่ละคนยาวมาก มาปีนี้มีผู้ที่รัก
และเคารพจากไปหลายท่าน แต่เท่าที่เนื้อที่จะพอบรรจุลงได้ในฉบับนี้ คือ บทคารวะท่าน
ผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ และท่านอาจารย์ปัญญา นันทภิกขุ
กราบคารวาลัย: เยี่ยงพายุมัจจุราชฉกาจกล้า/ฟาดสายฟ้าประกาศิตปลิดไม้ใหญ่/แผ่นดิน
แยกแทรกกระชากรากโพธิ์ไทร/ฟ้าร่ำไห้โหยหวนคร่ำครวญครางจตุบททวิบาทต่างหวาดไหว/ขาดที่พึ่งซึ้งกายใจในป่ากว้าง/ดั่งสิ้นสูรย์มืดมิดทุกทิศทาง/ไม้ใหญ่คว้างลอยแควกระแสชล/ดั่งเดือนแรมไร้ดาริกาก่อง/ไร้แสงส่องห้องเวหาสน์ดาดเวหน/เย็นยะเยียบเฉียบยอกซอกกมล/เพียงอำพนแวบอัมพรสะท้อนสะเทือน/เก้าสิบห้าฉนำกาลอันแกร่งกล้า/ พนมคงสูงส่งค่าหาใดเหมือน/ไม่โทษสิ้นดินฟ้าชะตาเตือน/มิเขยื้อนเคลื่อนล้มพนมลง/คงความแกร่งนกกาเข้าอาศัย/กางร่มใบแผ่กิ่งก้านหาญระหง/ปีกปกปักพิทักษ์ไพรไว้มั่นคง/ตราบวันปลงยิ่งยิ่งใหญ่ให้ปรีดีทุกคราผ่านร่มโพธิ์ไทรยิ่งใหญ่นั้น/อภิวันท์ทศนัขซ้องศักดิ์ศรี/ด้วยเอิบอาบซาบซึ้งตรึงรตี/ ยิ่งทวีพูนศุขสมพนมยงค์ (ไทยโพสต์ 20 พฤษภาคม 2550)
สุปฎิปันโน สาวกสังโฆ : หนึ่งใบโพธิ์พรากพริ้งจากกิ่งก้าน / หลังโบกบานญาณสะพรั่งกลางป่ากว้าง /
อวยเอื้ออกนกกามาแรมทาง / เป็นประทีปใสสว่างกลางมืดมน/เป็นตำนานการขจิตนิมิตกรรม / กลางมืดคล้ำอวิชชาคร่าเข้มข้น / จากแสงเรืองรำไรในพงพน / ขับหมองหม่นถกลไกรให้วิญญาณ / ขับมืดบอดมายาเล่ห์สาไถย / ที่ครอบงำคร่ำไถงเวิ้งไพศาล / กลางอุโมงค์โพรงเขลาเนิ่นเนานาน / เพื่อภพโพ้นพระนิพพานในวันเนา / ในวันนี้เพื่อดีงามวามชีวิต / ด้วยลิขิตแต่ละคนดับขลาดเขลา / ละกิเลสตัณหาบ้าบรรเทา / เพื่อโลกรอบตัวเราเพราพรรณราย / สอนให้รู้เขา-เราเนาในทุกข์ / ช่วยเพื่อนสุขสร้างชีวีมีความหมาย / โดยพิสุทธิ์พุทธธรรมย้ำภิปราย / ทั้งต้น-กลาง-ข้าง-ปลายพรายวาววาม / ตามรอยบาทศาสดาด้วยกล้าหาญ / ก่องตระการจริงใจไม่คร้ามขามตรงตามจริงอันปรากฏความงดงาม / ไม่ครั่นคร้ามบ่วงบาศอำนาจใด / สมณปฏิบัติวัตรดีชอบ / งามระบอบ-เรียบ-โล่งและโปร่งใส / มั่นสงบ สะอาด-สว่าง-กระจ่างใจ / ดั่งดอกไม้แห่งศรัทธาประชาธรรม / เจียนบรรจบศตวรรษตัดกิเลส / หลากกองธรรมวิเศษให้เรียนร่ำ /หลากธารทิพย์ท่อถ้อยร้อยลำนำ / หลากช่อคำควรปฏิบัติบูชา / กราบด้วยใจใสสว่างทางสงบ / ค้อมเคารพใน "พระดี" ที่ล้ำค่า / เทิดเทียนธรรมนำทางสร้างศรัทธา / เป็น "ปัญญานันทะ"อกาลิโก (แนวหน้า ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๐)
เรื่องโดย : ประยอม
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77157