สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
จรวย ขันมณี ประธานกรรมการ บริษัท ยานยนต์สแควร์กรุ๊ป จำกัด 1 ใน 3
ประธานกรรมการ บริษัท ยานยนต์สแควร์กรุ๊ป จำกัด 1 ใน 3 "บิกธรี" แห่งวงการยานยนต์ไทย
ถึง พศ. นี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อ จรวย ขันมณี และ ยานยนต์สแควร์กรุ๊ป ฯ หนึ่งในผู้ผลิตนิตยสารรถ
ยนต์ และจักรยานยนต์ ระดับแนวหน้าของเมืองไทย และในโอกาสที่จะมีอายุครบ 62 ปี ในเร็ววันนี้ "ฟอร์มูลา" จึงเปิดโอกาสให้คุณจรวย ได้พูดคุยถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังแห่งความสำเร็จ และประสบการณ์ทางธุรกิจเกือบ 30 ปีของเขา
ฟอร์มูลา : ความเป็นมาของ ยานยนต์สแควร์กรุ๊ป ฯ ?
จรวย : จากจุดเริ่มต้น เรามีหนังสืออยู่เพียงเล่มเดียว คือ ยานยนต์ เป็นแนวข่าวสาร และสาระเรื่องรถ
ยนต์ของคนวัยทำงาน ในช่วงนั้นวงการรถแต่งกำลังเริ่มบูม ก็เลยทำ นักเลงรถ ออกมาให้ตรงกับความ
ต้องการข่าวสารเรื่องรถแข่ง รถแรงต่างๆ เล่มนี้เป็นแนววัยรุ่น มาถึงตอนนี้คนที่อ่านนักเลงรถ เติบโตเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แต่ก็ยังอ่านอยู่ และรุ่นลูกๆ ก็อ่านต่อกันไปอีก จากนั้นมาก็เป็นเรื่องของจักรยานยนต์ในชื่อ นักเลงมอเตอร์ไซค์ ที่ฉีกแนวไปจากหนังสืออื่นบนแผงขณะนั้น ต่อจาก นักเลงมอเตอร์ไซค์ ก็เป็น นักเลงรถกระบะ มาจากการที่มองว่ารถกระบะ และรถอเนกประสงค์ต่างๆ จะต้องเป็นที่นิยมในเมืองไทย จากเดิมที่เป็นแค่รถใช้งานธรรมดาๆ ส่วนรถอเนกประสงค์พวก เอสยูวี และ เอมพีวี ตอนนั้นถือเป็นรถคันที่ 2 ที่ 3 ในบ้าน เรามองว่าต่อไปจะต้องมีคนนิยมใช้ และอยากรู้เรื่องราวของรถประเภทนี้มาก ก็เลยทำแยกออกมาอีกเล่ม เฉพาะรถจำพวกนี้อย่างเดียว ถือเป็นเล่มแรกของหนังสือรถยนต์บ้านเราที่แยกออกมาอย่างชัดเจน
ระหว่างการทำแต่ละเล่มออกมา ก็จะมีหนังสือรายปีเป็นเล่มพิเศษ ออกมาสลับอีกหลายหัว จะมีทั้ง
บทความที่รวบรวมจากที่ตีพิมพ์ไปแล้ว พวกนี้จะมาจากที่ผู้อ่านเรียกร้องว่าบางทีหนังสือหายไป หรือ
ซื้อไม่ทัน ก็เลยทำแบบรวมเล่มขึ้นมา อีกส่วนหนึ่งบางเล่มจะเป็นบทความใหม่ เสนอเรื่องของรถใหม่
ที่จะมีในแต่ละปี
2 เล่มล่าสุดทำมาปีกว่าๆ เป็นรายเดือนก็มี FMM กับ TWO & FOUR ที่เป็นแนวรถสวย-แต่ง-แข่ง ทั้ง
รถยนต์ และรถอเนกประสงค์
ฟอร์มูลา : คุณมั่นใจความสำเร็จของหนังสือเล่มใหม่ๆ ในเครือมากน้อยแค่ไหน ?
จรวย : คือ มันต้องมั่นใจก่อนนะถึงจะทำ ก็เหมือนธุรกิจอื่นๆ นั่นละครับ...เกือบ 3 ทศวรรษไม่ใช่เวลาที่สูญเปล่า มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับผมมากมาย และเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าทั้งสิ้น ทำให้มองเห็นอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นประโยชน์กับงานของผมเอง มีคนแนะนำ ให้ความคิดดีๆ มีผู้คนคอยติชมเป็นกำลังใจ ผมถึงอยากให้สิ่งเหล่านั้นแก่คนที่ต้องการเช่นกัน
ฟอร์มูลา : ปัจจุบันมีนิตยสาร และสื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวกับรถยนต์มากมาย คุณมีความคิดเห็นอย่างไร ?
จรวย : ผมเห็นว่าเป็นทางเลือกของผู้บริโภคที่จะได้เลือกสื่อที่ดีที่สุด และเหมาะที่สุดในการเพิ่มพูนข้อ
มูลสำหรับยานยนต์ ซึ่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นของคนทั่วไป ส่วนหนึ่งอาจไม่ค่อยชอบ หรือไม่มีเวลาที่จะ
ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับของที่ใช้อยู่ แต่ส่วนใหญ่จะชอบ บางท่านอาจจะยังไม่มีรถส่วนตัว แต่ก็ชอบอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับรถ ยิ่งมีสื่อมาก ผู้อ่านก็ยิ่งได้เปรียบมาก และหนังสือแต่ละหัวของยุคนี้มีสีสัน มีเรื่องราวที่น่าสนใจ รูปเล่มสวยงาม มีการจัดการที่ดี บุคลากรรุ่นใหม่ๆ ที่เขามีความกระตือรือร้น และมีหัวคิดแนวใหม่ๆ ถือว่าเป็นการสร้างความเคลื่อนไหวให้กับวงการ คนอ่าน และเจ้าของสินค้ามีโอกาสเปรียบเทียบ และเลือกสิ่งที่เขาต้องการ บุคลากรที่ทำงานด้านนี้ก็ต้องปรับตัวเองให้พื้นฐานแน่นขึ้น เพื่อต่อสู้ด้านความสามารถในการนำเสนอข้อมูลที่คนใช้รถต้องการทราบ เรามองตรงจุดนี้ และก็พยายามนำเสนอทุกสิ่งที่ครอบคลุมผ่านทางหนังสือในเครือ ซึ่งมีอยู่ตอนนี้ เฉพาะรายเดือนในเครือยานยนต์สแควร์กรุ๊ป ฯ จะมีอยู่ 6 เล่ม และมีที่ออกเป็นรายปีอยู่ 11 เล่ม
ฟอร์มูลา : ข้อคิดสำหรับคนรุ่นหลังที่จะเข้ามาเป็นคนทำหนังสืออย่างคุณ ?
จรวย : ทำหนังสือดีๆ ครับ แล้วอย่างอื่นจะตามมาเอง เพราะเมื่อคนอ่านเห็นคุณค่า เห็นความจริงใจ
จะเกิดความนิยม และเมื่อเกิดความนิยม หนังสือจะขายได้ดี ตอนนี้แหละที่ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องมองเห็นแล้วว่าการลงโฆษณาของเขาไม่สูญเปล่า มีคนเห็น มีคนรู้จัก สินค้าดีแต่วางไม่ถูกที่ถูกทางจะทำให้เสียโอกาส ผมคิดว่าการลงโฆษณาของแต่ละผลิตภัณฑ์ หรือแต่ละบริการต้องผ่านกระบวนการคิด และตัดสินใจมาอย่างดีแล้ว ที่เหลือก็คือ จะมองที่สื่อไหน เพราะฉะนั้น มุมมองจากคนทำหนังสือเป็นอาชีพอย่างผม ถ้าทำหนังสือ เราต้องทำหนังสือที่มีคุณค่า แล้วทุกคนจะมองเห็นผลงานของเรา
ฟอร์มูลา : คิดอย่างไรเมื่อมีคนพูดว่า คุณคือ 1 ใน 3 บิกของวงการหนังสือรถยนต์ ?
จรวย : รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และต้องพยายามให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลังๆ ผมถือว่าตัวเองเป็น
ทั้ง "สื่อ" และ "ฉนวน"...เป็นสื่อก็คือ ถ่ายทอดในสิ่งที่ผู้อ่านต้องการ หรือบางครั้งผู้อ่านอาจยังไม่ทราบว่าตัวเองต้องการ จนกระทั่งได้มาอ่านหนังสือของผม สื่อสิ่งที่ดีผ่านตัวหนังสือออกไปสู่ทุกๆ คนในทุกที่ สำหรับผู้ทำงานของผม ผมพยายามให้พวกเขาสื่อสิ่งที่ดีๆ ออกไป สำหรับเพื่อนร่วมวงการเราต้องเป็นสื่อในเรื่องมิตรไมตรี อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็จะช่วยเต็มที่ ส่วนที่บอกว่าเป็นฉนวนก็คือ พยายามยุติข้อขัดแย้ง ไม่มีการส่งต่อ แต่จะกั้นไว้เพื่อจะได้คลี่คลายไปในทางที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมพยายามชักนำให้ทุกคนในวงการได้เข้าใกล้ชิดและพูดจากันเสมอ เพื่อความรู้สึกที่ดี
ฟอร์มูลา : คุณมีกลยุทธ์อย่างไร ในการเอาชนะคู่แข่ง ?
จรวย : ผมไม่เรียกว่า "คู่แข่ง" หรือ "คู่ต่อสู้" แต่ถือว่าพวกเขาคือ "เพื่อนร่วมวงการ" จะรุ่นพี่รุ่นน้องรุ่น
ลูกหลานก็เป็นคนในวงการเดียวกัน ที่คุณเรียกว่า 3 บิก อีก 2 บิก ทั้ง ดร. ปราจิน เอี่ยมลำเนา และคุณขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ก็สนิทสนมกัน มีอะไรจะคุยกันตลอด กินข้าวกันบ้าง เล่นกอล์ฟกันบ้าง ในวงการนี้บางท่านรู้จักกันตั้งแต่รุ่นพ่อ ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาจนถึงรุ่นลูกมาบริหารก็ยังให้ความเคารพนับถือต่อมา ฉะนั้นมีอะไรต้องจับมือสมานฉันท์กันไว้ รวมทั้งให้เกียรติกันและกัน เพราะผมเชื่อว่าหนังสือทุกเล่มมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การประสบความสำเร็จ อาจจะแตกต่างในวิธีการคิด หรือวิธีปฏิบัติ มีนโยบายที่อาจจะคล้ายกันแต่ก็ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่ทำให้แตกต่างกัน แต่ละเล่มแต่ละหัวก็จะมีแนวทางของตัวเอง สำหรับคนอ่านที่มีหลากหลายรสนิยม ยิ่งมีมาก วงการนิตยสารหรือสื่อที่เกี่ยวกับยานยนต์ก็ยิ่งคึกคัก อย่างที่บอก รถยนต์เป็นทั้งเรื่องของการอำนวยความสะดวกสบาย และเป็นเรื่องของหน้าตาด้วย มันเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว และธุรกิจที่ต้องเกี่ยวข้องกับรถยนต์ก็มีมากมาย คนทำหนังสือก็ต้องทันสมัย และทำตัวให้ไวต่อข่าวให้มากขึ้น เพื่อนำเสนอผู้อ่านได้ทัน ก็ขนาดสิ่งพิมพ์ที่ไม่ใช่หนังสือรถยนต์โดยตรงก็ยังต้องมีเรื่องของรถยนต์แทรกเอาไว้ ดีครับ วงการคึกคักแบบนี้จะทำให้คนอ่านมีทางเลือกยิ่งขึ้น คนทำหนังสือก็ต้องพัฒนาขึ้นเหมือนกัน จุดสำคัญอยู่ที่ว่าความตั้งใจ และโอกาสของแต่ละคนมีมากขนาดไหน
ฟอร์มูลา : อยากทราบหลักการบริหารงานของคุณ ?
จรวย : นโยบายตั้งแต่เริ่มต้นและยึดถือมาตลอดการทำงานด้านนี้ คือ ความเป็นกลาง มอบสิ่งดีๆ ด้านข่าวสารแก่ผู้บริโภค เสนอสิ่งที่เป็นจริง จับต้องหรือสัมผัสได้ และต้องตรงเวลา ผมบอกคนทำงานกับผมทุกคนว่าการมีทัศนคติที่ดีต่องานของตัวเองจะทำให้มีความตั้งใจ และทำผลงานดีๆ ได้ และถ้าเราตั้งใจ ความสำเร็จจะมีมาแล้วเกินครึ่ง ที่เหลือก็คือ การสานต่อให้ประสบความสำเร็จเต็มร้อย นอกจากนี้เรายังต้องทำให้คนอื่นมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเราเองต่องานของเราอีกด้วย ไม่มีอะไรซับซ้อน อย่างเช่น รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ และพยายามรักษาภาพลักษณ์และบุคลิกที่ดี ตรงนี้พนักงานเขาก็เลือกคนมาดูแลกันเองอยู่แล้วในรูปของคณะอนุกรรมการจริยธรรม พนักงานอาวุโสก็จะต้องคอยดูแลตักเตือนรุ่นน้อง ก็ดูแลกันไปแบบนี้ แล้วเราก็มีประเพณีอื่นๆ อีก เช่น การอวยพรวันเกิดให้พนักงานทุกคน ทุกระดับ ในแต่ละเดือน ถือว่าทุกคนมีความสำคัญ เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของเรา มีการทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันอยู่เสมอ ผมคิดว่าตัวเองโชคดีนะ ที่มีผู้ทำงานดีๆ มารวมกันที่นี่
การมีหนังสือในเครือหลายเล่ม ทำให้ต้องมีความรับผิดชอบสูง ผมเป็นคนชอบทำงานแบบคลุกวงใน
มาถึงที่ทำงานตอน 6 โมงเช้าทุกวัน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เริ่มต้นในตึกแถวห้องเดียว ผมมีพนักงานที่ทำงานกับผมมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีมากทีเดียว รุ่นที่อยู่มาเกิน 20 ปีก็มีหลายคน เขาเรียกกันเองเล่นๆ ว่า พวก 3 ตึก คือ ขยับจากออฟฟิศเดิมที่เป็นห้องเดียว มาเป็นอาคาร 1991 และย้ายมาอาคาร 1999 จนถึงปัจจุบัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมใช้หลักการมุ่งมั่นและตั้งใจจริง อยากก้าวต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ และพยายามถ่ายทอดความรู้สึกนี้ ให้คนทำงานกับผมทุกคนได้รับรู้ โดยเฉพาะพนักงานจะเน้นเป็นพิเศษ วันข้างหน้าเขาจะไม่อยู่กับเรา เขาก็ควรไปเป็นพนักงานที่ดีของที่อื่น หรือหากจะไปทำกิจการของเขาเอง เขาก็ต้องเป็นผู้บริหารที่ดี เพราะมีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงที่จะทำงานให้ก้าวหน้ารุ่งเรือง
อีกส่วนหนึ่งที่ต้องมาเกี่ยวข้อง ก็คือ องค์กรอื่นๆ ที่มีส่วนสัมพันธ์กับงานของเรา คือ ร้านพเลท โรงพิมพ์ ผู้จัดจำหน่าย ผู้ขายกระดาษ คนเหล่านี้ก็เป็นส่วนสำคัญ ผมจะทำธุรกิจกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา และไม่เคยเสียคำพูด เพื่อให้พวกเขาทราบว่าผมมีความตั้งใจจริง สำหรับผู้ลงโฆษณา ในเมื่อเราแสดงจุดยืนแล้วว่าจะนำเสนอแต่ความจริงและเป็นกลาง ลูกค้าจะมั่นใจ เพราะเรายืนยันอย่างนี้กับทุกราย เขาจะไม่เสียเปรียบ หรือรู้สึกด้อยกว่ารายอื่นๆ ในธุรกิจแบบเดียวกัน หากตัดสินใจจะลงโฆษณาสินค้า หรือบริการ
ฟอร์มูลา : มีโครงการใหม่ที่จะทำต่อไปอีกหรือไม่ ?
จรวย : ผมมีโครงการที่คิดไว้อีกเยอะ ไม่ทราบว่าจะทำทันหรือเปล่า เพราะตอนนี้อายุก็ 61 ปีแล้ว มี
หลายอย่างที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป เหมือนปลูกต้นไม้แล้วรอดูมันเติบโตให้ดอกผลสำหรับชื่นชม ตอนนี้ที่อาคาร 1991 ชั้นล่างเปิดเป็นศูนย์ข้อมูลและห้องสมุดของสำนักพิมพ์ เราเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารและหนังสือต่างๆ ทั้งของเราเอง ของค่ายอื่น และมีหนังสือรถยนต์ของต่างประเทศ จากที่สะสมมาเป็น 10 ปี พยายามเอามาเก็บเป็นหมวดหมู่ เอาไว้ให้พนักงานของเราเอง และคนที่สนใจได้เข้าไปใช้บริการหาความรู้เพิ่มเติม เปิดมาปีกว่าๆ มีเด็กๆ พวกนักเรียนช่างยนต์ เด็กที่เรียนทางนิเทศศาสตร์ และยังมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทต่างๆ มาใช้บริการอยู่ตลอด ผู้อ่านที่ทราบข่าวก็มีแวะมา ตรงจุดนี้ยังต้องปรับปรุงไปเรื่อยๆ ตามข้อมูลจากผู้ที่มาใช้ศูนย์นี่แหละ แล้วก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปดูห้องสมุดอื่นๆ เอามาปรับใช้กับของเรา ก็ขอเชิญชวนไว้ตรงนี้ มาเยี่ยมเราได้เลยครับ
อีกสิ่งที่ต้องการ คือ ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ที่ทำอยู่ คือ บริจาคหนังสือในเครือต่างๆ ให้แก่ ห้องสมุด
ของโรงเรียน วิทยาลัยอาชีวศึกษา และทัณฑสถานต่างๆ มานานหลายปีแล้ว ไม่ใช่หนังสือเหลือจาก
จำหน่าย แต่เป็นจำนวนที่สั่งพิมพ์เพิ่มเพื่อมอบให้สถานที่ต่างๆ ที่ว่านี้ อยากให้เด็กๆ เยาวชน หรือคนที่ไม่สามารถจะซื้อได้มีโอกาสอ่าน หรือเรียนรู้บ้าง สิ่งตอบแทนที่ได้มา คือ ความสบายใจ และรู้สึกมีความสุขที่ทำให้หลายๆ คนเกิดแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพ อย่างที่เคยพบมา มีเด็กคนหนึ่งเรียนและทำงานไปด้วย เขาเป็นคนรับรถในสถานบริการ บอกว่าอ่านหนังสือของผมแล้วได้ความรู้ว่า จะระวังหรือขับอย่างไร ? ในรถแต่ละรุ่น และยังสามารถคุยกับเจ้าของรถได้ถูกใจ ได้ทิพเพิ่ม และบางคนบอกว่าไม่มีเงินซื้ออ่าน แต่ทำงานในอู่ ในศูนย์บริการ และได้ความรู้เพิ่มเติมจากการอ่านหนังสือของเราที่ไปวางในศูนย์นั้นๆ สำหรับให้ลูกค้า หรือคนที่สนใจได้อ่าน ตรงนี้มันนับเงินเป็นบาทเป็นสตางค์ไม่ได้ แต่มีคุณค่ากับจิตใจของผมมากๆ เลยนะ
ที่เล่าให้ฟัง ไม่ใช่จะโอ้อวด แต่เพื่อเป็นกำลังใจแก่คนที่จะเข้ามา หรือเข้ามาในวงการนี้แล้ว รวมถึงคนที่จะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากเล็กๆ แล้วเติบโตขึ้นด้วยความรัก ความเข้าใจ ใช้วิธีการที่ถูกต้อง และมีผู้ร่วมทำงานที่ดีครับ
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77105