รู้ลึกเรื่องรถ
เสียงไม่พึงประสงค์
ปัญหามลภาวะยังเป็นปัญหาหลักของมนุษยชาติไปอีกนานครับ แม้จะมีการตื่นตัวเข้าใจพิษภัย
ของมันมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาจัดการกับมลภาวะที่มีผลต่อสิ่งแวด
ล้อมและวิถีชีวิตของพวกเขาได้เกือบหมด เช่น ปัญหาขยะ ปัญหาน้ำทิ้ง ฯลฯ
ปัญหาที่ถือว่ายากที่สุดสำหรับพวกเขา คือ มลภาวะจากเสียงรบกวนครับ ส่วนประเทศที่ยังไม่
พัฒนากับพวกกำลังพัฒนาอย่างประเทศของเรา จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่มองเห็น หรือจับต้อง
ได้มากกว่า เช่น ขยะ น้ำเน่า ฝุ่น ควัน ฯลฯ ทั้งๆ ที่เสียงสามารถทำร้ายพวกเราได้ไม่แพ้อย่างอื่น
หรืออาจจะยิ่งกว่าด้วยซ้ำไปครับ
ถ้าเราแบ่งประเภทของเสียงตามความรู้สึก ก็จะได้สองอย่างเท่านั้นเองครับ คือ เสียงที่เราชอบกับ
เสียงที่เราไม่ชอบ หรือเสียงที่เราต้องการฟังกับเสียงที่เราไม่ต้องการฟัง ตัวอย่างของแบบแรก คือ
เสียงจากเครื่องดนตรี เสียงคนร้องเพลง เสียงนกร้อง ฯลฯ ส่วนแบบหลัง มักจะเป็นเสียงที่ไม่ได้
เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เช่น เสียงเครื่องจักร หรือเครื่องยนต์ทำงาน ฯลฯ แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ ถ้า
ให้เราไปอยู่ในร้านขายนก ที่ส่งเสียงร้องกันอุตลุด มันก็จะกลายเป็นเสียงที่เราไม่ชอบและไม่ต้อง
การฟังได้เหมือนกัน และก็อาจมีบางคนที่บอกว่านอนฟังเสียงเครื่องจักรบางอย่างแล้วสบายดี
เพราะฉะนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวครับ ว่าเสียงอะไรอยู่ในประเภทไหน แต่ก็พอจะกำหนดได้ว่า
สำหรับมนุษย์ปกติโดยเฉลี่ยแล้ว เสียงอะไรอยู่ในประเภทพึงประสงค์ หรือไม่พึงประสงค์ โดย
ทั่วไปแล้ว แบบแรกจะมีต้นกำเนิดจากธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เสียงกบ เขียดร้อง
ขนาดร้องกันระงมหลังฝนตก เราก็ยังรู้สึกว่ามันไม่รบกวน นอนหลับได้ หรือหลับดีกว่าตอนเงียบ
เสียอีก เสียงจักจั่นก็ไม่รบกวนคนส่วนใหญ่ครับ เสียงหยดน้ำฝนตกใส่ใบไม้ก็น่าฟังสำหรับคน
ปกติส่วนใหญ่ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นหยดใส่หลังคาสังกะสี มันไม่พึงประสงค์แล้ว เสียงของยอด
นักร้องอย่าง ปาวารอตติ มีคนยินดีมากมายที่จะจ่ายเงินค่าฟังรอบละ 2 หมื่นบาท แต่คนที่ไม่
รู้จักและฟังไม่เป็น จะถือว่าเป็นเสียงรบกวนที่ไม่พึงประสงค์
ผมว่าถ้าจะสรุปว่าเสียงอะไรที่เข้าข่ายเสียงรบกวน ก็น่าจะเป็นอย่างนี้นะครับ เสียงรบกวนต่อ
ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็คือ เสียงที่ผู้นั้นไม่ต้องการฟัง (ไม่ว่าใครจะว่าไพเราะเพียงใดก็ตาม) หรือเสียงที่
ผู้นั้นฟังแล้วไม่ปิติยินดี (แบบนี้เสียงตำหนิของนาย หรือนายจ้าง ก็น่าจะเข้าข่าย) หรือเสียง
ที่ดังเกินไปสำหรับผู้นั้น
เฉพาะอย่างหลังนี้เท่านั้นนะครับ ที่เราจะมาคุยกันต่อเกี่ยวกับมัน และขอจำกัดเฉพาะที่เกี่ยว
กับรถยนต์เท่านั้น แบบนี้เราก็จะติดปัญหาที่จะต้องมาเถียงกันให้เสียเวลา ว่าเสียงแบบไหน
น่าฟัง หรือไม่น่าฟัง คือ พิจารณากันเฉพาะความดังของมันอย่างเดียวเลย
ผมเชื่อว่าหูของมนุษย์เราไม่ได้ถูกสร้างมาสำหรับฟังเสียงดังเลย มันมีไว้ฟังเสียงจากปากของ
มนุษย์อื่น มีไว้ฟังเสียงลม เสียงใบไม้ไหวเสียดสีกัน มีไว้ฟังเสียงร้องหรือเสียงเดินของสัตว์
เพื่อให้ตามล่ามันมาเป็นอาหาร หรือไม่ก็เพื่อหนีให้พ้นจากการถูกมันล่า มีไว้ฟังเสียงน้ำตก
น้ำไหลในลำธาร หรือฟังฟ้าร้องดังบ้างนานๆ ครั้ง
ทุกอย่างล้วนไม่มีความดังเกินความต้องการของเรา หรือเกินความสามารถของส่วนต่างๆ ในหู
ที่จะรับได้ หูของเราไม่ได้ถูกสร้างมาให้ฟังเสียงแตรรถ เสียงเครื่องยนต์ไอพ่นของเครื่องบิน เสียง
จากปลายท่อไอเสียที่ชำรุด หรือถูกทำลาย หรือถูกออกแบบให้ดังเกินควร คนส่วนใหญ่มักเข้าใจ
ว่าการฟังเสียงดังเกินควร จะทำให้อวัยวะสำหรับฟังเสียงของเราชำรุด ซึ่งก็จริงครับ เช่น การ
ทำงานกับเครื่องจักร หรือเครื่องมือที่ส่งเสียงดัง เช่น เครื่องขุดเจาะถนนที่ทำงานโดยใช้ลมอัด
เครื่องตัดวัสดุที่ตัวเครื่องเองไม่ส่งเสียงดัง แต่มาจากการเสียดสีระหว่างใบเลื่อยและวัสดุที่ถูกตัด
เสียงปืน ฯลฯ
ในกรณีเหล่านี้ เราต้องถนอมอวัยวะในการฟังเสียงของเรา โดยการใช้อุปกรณ์ป้องกันครับ เช่น ที่
ครอบหู หรือที่อุดหู คนไทยเรามีค่านิยมด้านลบในเรื่องของความปลอดภัยเสมอ ซึ่งผมว่ามันแย่
มาก ไม่ว่าใครจะทำอะไรเพื่อความปลอดภัย หรือเพื่อสุขภาพที่ดี จะถูกเยอะเย้ยเหน็บแนม จาก
ผู้คนรอบข้างเสมอ ทั้งที่รู้จักกันและไม่รู้จักกัน ถ้าไม่โดยตรงด้วยวาจาเปรียบเทียบเช่น "เด็กอนามัย"
ก็อาจเป็นการยิ้มเยาะ สะกิดให้บุคคลที่สามดู เป็นต้น
ผมจำได้ว่าเมื่อสัก 50 ปีก่อน แทบไม่มีใครใส่แว่นกันแดดเพื่อถนอมดวงตาได้โดยปราศจากความ
รู้สึกด้านลบของผู้คนที่แวดล้อม ต้องใช้เวลานานเป็น 10 ปี กว่าอุปกรณ์ลดแสงเพื่อถนอมดวงตานี้
จะเป็นที่ยอมรับของสังคมไทย ส่วนใหญ่บอกว่าเป็นการดัดจริต อยากเอาอย่าง "ฝรั่ง" ทั้งๆ ที่
พฤติกรรมอื่นๆ อีกหลายอย่าง พวกเราก็เอาอย่างเหมือนกัน การถนอมผิวไม่มีอุปสรรคทำนองนี้
เพราะทาครีมแล้วไม่มีใครรู้ แล้วผู้จำหน่ายครีมเหล่านี้ ก็พร้อมใจกันทุ่มเงินมหาศาล สร้างค่านิยม
ด้านบวกด้วยการโฆษณาทางสื่ออย่างต่อเนื่อง
การถนอมอวัยวะที่เกี่ยวกับระบบหายใจ ก็ยังเป็นสิ่งที่คนไทยไม่ยอมรับ พวกเรายังยินดีที่จะทำลายสุข
ภาพตัวเอง โดยการสูดฝุ่นและควันเข้าปอด มากกว่าการคาดผ้ากรองหรือหน้ากากกรองฝุ่น
แน่นอนครับว่ามีคนจำนวนมาก ไม่เชื่อว่ามันให้โทษต่อร่างกายได้จริงๆ แต่เท่าที่ผมสังเกตและสอบ
ถามดู พวกที่รู้จักโทษของมันดี ก็ยังไม่ยอมใช้ เพราะ "กลัวคนมอง" "กลัวเป็นคนแปลก" พูดง่ายๆ
ก็คือ กังวลกับความคิดและความรู้สึกของผู้อื่น มากกว่าที่จะกังวลต่อสุขภาพของตนเอง
แย่นะครับ เพราะที่จริงสภาพอากาศที่เลวร้ายบนท้องถนนและทางเท้าในเมืองหลวงและเมืองใหญ่
ของเรา เกินกว่าที่จะหายใจโดยไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน จะยอมใช้ก็เฉพาะผู้ที่ถึงขั้นเจ็บป่วย หากไม่
ป้องกันตนเอง เช่น ตำรวจจราจร ผมไม่มีตัวเลขเป็นทางการครับ แต่มั่นใจว่ารัฐต้องสูญเงินระดับ
ไม่ต่ำกว่าหลายพันล้านบาท ในการรักษาผู้ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ จากการสูดฝุ่นละออง
เหล่านี้เข้าปอดเป็นประจำโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน
ด้านเสียงก็หนักหนาพอๆ กันครับ คนไทยยินดีป่วย หรือหูพิการ มากกว่าใส่เครื่องป้องกัน นายจ้าง
ที่เห็นความสำคัญก็ล้วนต้องปวดหัว กับการบังคับให้พนักงานใส่เครื่องป้องกันเสียง ซื้อให้แล้วก็
ไม่ยอมใช้ ต้องบังคับกันตลอดเวลา เมื่อไรรอดพ้นสายตาก็ถอดออก หรือโยนทิ้งให้เหมือนกับทำหาย
การถนอมดวงตาก็อยู่ในสถานะเดียวกัน คนไทยพอใจจะเสี่ยงกับการตาบอด มากกว่าที่จะใส่แว่นตา
นิรภัย
กลับมาเรื่องเสียงของเรากันต่อครับ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การฟังเสียงดังเกินควร ให้โทษเฉพาะ
ส่วนที่เกี่ยวกับอวัยวะสำหรับฟังเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ เพราะการฟังเสียงไม่พึงประสงค์ ใน
ระดับที่ไม่ทำให้ให้อวัยวะสำหรับเสียหาย ก็สามารถทำให้เราป่วยได้ หากฟังเป็นเวลานานต่อเนื่อง
หรือถึงจะไม่ต่อเนื่อง แต่เป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ก็ให้โทษเหมือนกัน ตัวอย่างของแบบหลังนี้ เช่น
ฟังเสียงรถยนต์ จักรยานยนต์ หรือเรือหางยาว ที่ผ่านหน้าบ้านทุกๆ นาที เป็นต้น
อาการป่วยมีตั้งแต่ นอนไม่หลับ การไหลเวียนของโลหิตแปรปรวน หรือในรายที่มีโรคอื่นอยู่แล้ว ก็
อาจถึงขั้นหัวใจวายได้ ความดังระดับ 60 กว่าเดซิเบล ก็ทำให้ป่วยได้แล้ว ถ้าฟังเป็นเวลานานและ
เป็นประจำ ความดังระดับนี้ก็คือเสียงจากรถที่แล่นบนทางด่วน หรือทางสายหลัก ส่วนใหญ่มาจาก
เครื่องยนต์และจากล้อ ซึ่งเราเชื่อว่ามันไม่น่าทำให้เกิดเสียงได้ เพราะมันเป็นวัตถุที่กลมและกลิ้งไป
บนผิวถนนที่เรียบ แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป ผิวถนนของเราก็ไม่ได้เรียบจริงดังกระจก ส่วนล้อยางตรงที่
สัมผัสกับผิวถนน ก็ยุบตัวแบนเพราะมีน้ำหนักของรถกดอยู่ เวลาขับด้วยความเร็วสูงพอสมควร
หน้ายางจะกระทบผิวถนนด้วยความเร็วสูง จนเกิดคลื่นเสียงมาเข้าหูเรา ซึ่งก็มาจากการสั่นของเนื้อ
ยางบริเวณหน้ายางที่กระทบผิวถนนนั่นเองครับ
ขอปิดท้ายคอลัมน์นี้ด้วยรายงานการทดสอบเกี่ยวกับเสียงของรถ ที่ผมพบในนิตยสารของต่าง
ประเทศฉบับหนึ่ง เป็นการวัดเสียงเปรียบเทียบระหว่างรถ 2 รุ่น ในแบบไขปัญหาคาใจของผู้
ใช้รถ ผลที่ออกมานั้น บางอย่างก็ตรงกับเสียงเล่าลือ หรือความเชื่อของผู้ใช้รถส่วนใหญ่ บางอย่าง
ก็ตรงกันข้าม ผมขอสรุปมาเล่าอย่างสั้นๆ เลยดีกว่า
0 เครื่องดีเซลดังกว่าเครื่องเบนซิน ตรงกับความเชื่อของพวกเราอยู่แล้ว แม้จะเป็นเครื่องดีเซลรุ่น
ใหม่ที่โฆษณากันว่าเงียบมากก็ตาม
0 เครื่องดีเซลแบบคอมมอนเรล เงียบกว่าเครื่องดีเซลแบบใช้หัวฉีดกลไก ข้อนี้ตรงกับที่บริษัทขายรถ
คอมมอนเรล ต้องการให้เราเชื่อ
0 เครื่องเบนซินเทอร์โบ ไม่ได้เงียบกว่าเครื่องเบนซินธรรมดา ข้อนี้ได้ผลตรงกันข้ามกับความเชื่อ และ
คำอ้างของนิตยสารรถหลายแห่งในต่างประเทศ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้วย ที่มักบอกว่าเทอร์โบช่วยลด
เสียงในท่อไอเสียตั้งแต่ต้นทาง
0 กระจกแบบ 2 ชั้น มีช่องอากาศตรงกลาง ไม่ช่วยให้เงียบกว่ากระจกชั้นเดียว ในระดับที่ผู้ผลิตรถ
ต้องการให้เราเชื่อ สรุปก็คือ ไม่คุ้ม ถ้าต้องเพิ่มเงินเป็นพิเศษ
0 เครื่อง 6 สูบ เงียบกว่าเครื่อง 4 สูบ ข้อนี้ตรงกับความเชื่อของผู้ใช้รถ แต่ต้องอยู่ในระดับเดียวกัน
ไม่ใช่เอา 6 สูบห่วย ไปเทียบกับ 4 สูบ ชั้นเยี่ยม หรือเอา 6 สูบ ดีเซลไปเทียบกับ 4 สูบ เบนซิน
0 หลังคาแข็งแบบพับได้ของรถเปิดหลังคาได้ เช่น รถสปอร์ทรุ่นใหม่ยุคหลัง ที่มี เมร์เซเดส-เบนซ์
เป็นผู้เริ่มรายแรก ช่วยลดเสียงในห้องโดยสารได้อย่างมาก เมื่อเทียบกับหลังคาผ้าใบ
ข้อนี้คงไม่มีใครสงสัย หรือเชื่อในทางตรงกันข้ามครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77066