รอบรู้เรื่องรถ
บริษัท โลก จำกัด
ผมแปลมาจากภาษาเยอรมันครับ เป็นชื่อบริษัทที่ จืร์เกน ชเรมพพ์ (JUERGEN SCHREMPP)ประธานบริษัท ไดมเลร์ เบนซ์ คนที่แล้ว ใช้เป็นเป้าหมายในการนำบริษัทไปสู่ความยิ่งใหญ่ครอบคลุมทั่วโลก
ถ้าเปรียบการแผ่อำนาจทางธุรกิจนี้กับการปกครอง ก็คงจะอยู่ในระดับเดียวกับความต้องการจะเป็น อเลกซานเดอร์ หรือ เจงกิสข่าน นั่นแหละครับ สมัยก่อนใช้อาวุธและไพร่พลบุกยึด สมัยนี้ก็ใช้เงินแทน ปัญหาอยู่ที่ว่ายึดครองได้แล้ว บริหารและปกครองไหวหรือเปล่า
ประธาน ชเรมพพ์ ผู้ทะเยอทะยานต้องเริ่มด้วยการซื้อบริษัทระดับยักษ์อีกแห่งหนึ่งก่อน ในยุโรปก็พอมีครับ แต่ทุกแห่งจะติดขัดเรื่องศักดิ์ศรี คือ น่าพอใจ ก็ยังไม่อยากให้โรงงานที่มีประวัติมายาวนาน เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาติตกไปเป็นของชาติอื่น และก็ยังไม่รู้ด้วยว่าขายไปแล้ว จะถูกเอาไปทำลาย ย่อยสลายสาบสูญเหมือนถูกกลืนชาติหรือไม่ ?
ชเรมพพ์ จึงไม่เหลือทางเลือกอื่น นอกจากมองหาโรงงานระดับยักษ์ของสหรัฐอเมริกา ประเทศที่คนส่วนใหญ่บูชาเงิน อันดับหนึ่งอย่าง จีเอม หรืออันดับสองอย่าง ฟอร์ด นั้นอยู่เกินเอื้อมด้วยประการทั้งปวง คือ เขาไม่ขายแน่ แม้สถานะทางการเงินจะไม่ดีเหมือนยุคก่อนแล้วก็ตาม แลสมมุติว่าขาย ก็เป็นราคาที่ซื้อไม่ไหวแน่ เหลือเพียงยักษ์เล็กอันดับสามอย่าง ไครสเลอร์ ที่ออกอาการไม่ค่อยดีมานาน และราคาก็พอสู้ไหว การทาบทามและต่อรองเป็นไปอย่างยาวนาน และที่สำคัญ คือ ต้องเป็นความลับสุดยอด สถานที่นัดพบแต่ละแห่งจึงอยู่ในระดับเดียวกับการสืบราชการลับ
แน่นอนว่า ซีอีโอ หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ไครสเลอร์ เรียกร้องผลประโยชน์ให้ตัวเองไว้เพียบทั้งด้านการงานและการเงิน ฤกษ์เปิดตัวคู่วิวาห์ คือ เดือนพฤษภาคม 1998 ชเรมพพ์ เรียกงานควบรวมกิจการระดับโลกของอุตสาหกรรมรถยนต์นี้ว่า "งานวิวาห์ในสรวงสวรรค์" หุ้นของไดมเลร์ เบนซ์ พุ่งทะยานจาก 60 ยูโร ซึ่งถือว่าสูงมากแล้วในขณะนั้น มาอยู่ที่ 100 ยูโร หนังสือพิมพ์ทั่วโลกลงข่าวนี้ด้วยความตะลึงกันทั่วโลก จืร์เกน ชเรมพพ์ กลายเป็นวีรบุรุษในชั่วข้ามคืนพูดง่ายๆ ก็คือ "ซูเพอร์แมน" ของอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลก เสียงนกกาเริ่มเยินยอว่าคนระดับนี้น่าจะมาบริหารประเทศด้วย
จาก ไดมเลร์ เบนซ์ กลายมาเป็น ไดมเลร์ ไครสเลอร์ ชเรมพพ์ ให้เหตุผลของการเข้าครอบครองไครสเลอร์ ว่า มีแต่สิ่งดีล้วนเข้าข่าย SYNERGY ตั้งแต่ "ได้ของดีในราคาถูก" ประหยัดเวลาในการพัฒนารถบางรุ่นบางแบบ ช่องว่างที่ เมร์เซเดส-เบนซ์ มีอยู่ ก็จะถูก "อุด" ด้วยรถหลายรุ่นของไครสเลอร์ โดยไม่ต้องสร้างเอง มูลค่าหุ้นลงมาอยู่ที่ 80 ยูโรกว่าๆ ซึ่งยิ่งสูงมาก เพราะยังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน มีแต่การให้ความเห็นในด้านบวกจากคณะกรรมการที่บริหารบริษัท ฯ
ในช่วงปลายปีเดียวกันฝุ่นเริ่มจางหาย กลุ่มคนในวงการรวมทั้งผู้ถือหุ้น เริ่มมองเห็นภาพจริงได้ชัดว่าคู่สมรสไม่ได้มีคุณสมบัติสูงดังว่า รถหลายรุ่นของ ไครสเลอร์ ไม่ดีพอ และที่สำคัญกว่า ก็คือชื่อ ไครสเลอร์ นั้นขายในยุโรปไม่ออก แค่เดือนตุลาคมปีเดียวกัน หุ้น ไดมเลร์ ไครสเลอร์ เหลือไม่ถึง 60 ยูโร คือ ต่ำกว่าก่อนมีข่าวควบรวมกิจการเสียอีก ชเรมพพ์ บอกว่าของแบบนี้ต้องดูกันนานๆ ถึง
จะเห็นผล พร้อมกับบอกว่าจะเดินแนวเดิม พา ไดมเลร์ ไครสเลอร์ ไปสู่บริษัท โลก จำกัด ที่มีรถหลายบริษัททั่วโลกอยู่ในครอบครองให้ได้ มูลค่าหุ้นสูงขึ้นมาอีกครั้งที่ระดับเกิน 80 ยูโรในปีถัดมาแล้วค่อยๆ ลดลงอีกครั้ง พร้อมกับทีท่าที่จะเข้าซื้อกิจการของ มิตซูบิชิ ในส่วนที่ผลิตยานยนต์จนกระทั่งเข้าถือหุ้นใหญ่กลางปี 2000 แล้วก็ค่อยๆ พบว่ามีปัญหาซุกซ่อนอยู่ภายในมากมาย การฟื้นฟูไม่ง่ายเหมือนที่คิดไว้
ปลายปีเดียวกันอาการของ ไครสเลอร์ ในสหรัฐ ฯ เริ่มหนัก กำไรที่มีอยู่ไม่มากเริ่มหดหาย ชเรมพพ์ส่ง เซทเช (ZETSCHE) และ เบร์นฮาร์ด (BERNHARD) สองสมุนคู่ใจ ไปจัดการเปลี่ยนการขาดทุนให้เป็นกำไร วิธีแก้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกครับ นักบริหารคู่นี้ปิดโรงงานไป 6 โรง กับปลดพนักงาน 26,000 คน หุ้นของ ไดมเลร์ ไครสเลอร์ ไถลลงจากราวๆ 50 ยูโร ปลายปี 2000 มาอยู่ที่30 ยูโรเศษในปลายปีถัดมา กลับขึ้นมาอยู่ที่ 50 ยูโร ราวๆ กลางปี 2002 แล้วรูดลงมาเพราะปัญหาสะสมทั้งของ ไครสเลอร์และ มิตซูบิชิ เหลือ 20 กว่ายูโร ช่วงต้นถึงกลางปี 2003
อย่าพึ่งงง หรือเบื่อนะครับ ว่าทำไมผมเน้นแต่มูลค่าหุ้น เพราะหน้าที่ของประธานเจ้าหน้าที่บริหารคือ การบริหารกิจการให้มีประสิทธิภาพ มีกำไร เพื่อแบ่งเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น เมื่อผลประกอบการดีหุ้นของบริษัทก็เป็นที่ต้องการ เมื่อมีผู้ต้องการซื้อมาก แต่ผู้ต้องการขายน้อย เพราะใครๆ ก็อยากเก็บหุ้นดีเอาไว้ ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นผลพลอยได้
ลองสมมติตัวเราเองเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ระดับหมื่นล้าน หรือแสนล้านบาทของ ไดมเลร์ เบนซ์ ก่อนเข้าควบรวมกิจการกับ ไครสเลอร์ ดูก็ได้ครับ ถ้าคุณต้องนั่งดูผลกำไรหดหาย มูลค่าหุ้นลดลงไปเรื่อยจนเหลือไม่ถึงครึ่งในเวลาห้าปีกว่า พร้อมกับฟังคำแก้ตัว พร้อมกับให้ความหวังของ ซีอีโอ และคณะรายนี้ แล้วจะรู้สึกอย่างไร สมมติว่าเอาเงินมาเผาทิ้งวินาทีละ 10 ยูโรไม่หยุดเลยตลอด 5 ปี ก็จะเสียเงินไปแค่ประมาณ 1,500 ล้านยูโรเอง แต่นาย ชเรมพพ์ นี่ผลาญเงินของผู้ถือหุ้นใหญ่ไปหลายสิบเท่าครับ
ต้นปี 2004 ผู้ถือหุ้นใหญ่บีบให้วางมือจาก มิตซูบิชิ ไดมเลร์ ไครสเลอร์ ขาย มิตซูบิชิ ไปในเดือนเมษายน มูลค่าหุ้นขยับขึ้นมาอยู่ที่เกือบ 40 ยูโร ซึ่งก็ยังถือว่าต่ำมาก เสียงเรียกร้องให้ลาออกและเสียงไล่ของผู้ถือหุ้นใหญ่ เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชเรมพพ์ ไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้ว่าได้ตัวอย่างจาก "สามหนาห้าห่วง" ของไทยไปหรือเปล่า เพราะอยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทุกครั้งที่ประชุมก็ยังมีข้อแก้ตัวพร้อมกับความหวังมาให้ผู้ถือหุ้น แต่ความเชื่อถือมันหมดไปนานแล้ว กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ยื่นคำขาดว่าถ้าไม่ลาออกก็จะลงมติไล่ออกแน่นอน
ชเรมพพ์ ประกาศลาออกในการประชุมใหญ่เดือนกรกฎาคม 2005 มีคำแถลงในทำนองว่าเป็นผู้เสียสละ แต่ผ่านมา 2 ปีแล้ว ผมจำถ้อยคำได้ไม่ครบ เลยไม่อยากนำมาเล่าครับ คณะกรรมการบริหารมีมติให้ เซทเช ซึ่งดูแล ไครสเลอร์ ในสหรัฐ ฯ อยู่ มาดำรงตำแหน่งแทน ส่วน เบร์นฮาร์ด ที่ ชเรมพพ์ ส่งไปแก้ปัญหาให้ ไครสเลอร์ พร้อมกับ เซทเช และในวงการคาดกันว่าน่าจะมีสิทธิ์รับเก้าอี้หมายเลขหนึ่งแทน ชเรมพพ์ นั้น เคยแข็งข้อ และขัดคอนายใหญ่ เลยถูกเฉดหัวออกไปหลายปีแล้ว โดยโรงงานโฟล์คสวาเกน รีบมารับตัวไปทำงาน ด้วยภาพนักบริหารมือทอง
ปัจจุบันได้ข่าวว่าถูก พีค (PIECH) ซึ่งเป็นประธานใหญ่ปลดออกไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับพิเชทส์รีเดร์ (PISCHETSRIEDER) หมายเลขหนึ่งของ โฟล์คสวาเกน ที่ถูก บีเอมดับเบิลยู ปลดออกมาจากความล้มเหลว เพราะไปซื้อ โรเวอร์ มาจากอังกฤษ ทำนองเดียวกันนี่แหละครับ อ่านแล้วไม่ต้องสงสารนะครับ จะถูกปลดกี่ครั้ง อยู่สั้นหรืออยู่ยาว พวกนี้มีแต่รับทรัพย์ครับ ร่ำรวยกันแบบใช้ชีวิตปกติได้อีกสิบชาติเกิด ก็ยังไม่หมด
น้ำลดแล้ว ตอก็ผุดเป็นธรรมดา ชเรมพพ์ ไปแล้ว จึงมีผู้กล้าเปิดเผยว่า มูลค่าที่ซื้อ ไครสเลอร์ มานั้นสูงเกินไปมาก (35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ หรือประมาณ 1,200,000 ล้านบาท) เทคโนโลยีของรถเกือบทุกรุ่นของ ไครสเลอร์ ก็ล้าสมัย งานพัฒนารถต้นแบบที่ ไครสเลอร์ สร้างภาพว่ามีอยู่จำนวนมากก็เป็นเรื่อง "แหกตา" รวมทั้งความหลงผิดของฝ่ายเยอรมันเอง ที่เชื่อว่าเมื่อควบรวมกิจการในระดับที่ใช้ชื่อรวมกันอย่างเป็นทางการแล้ว จะทำให้ภาพลักษณ์ของ ไครสเลอร์ ดีขึ้นจนเป็นที่ยอมรับของลูกค้าในยุโรป
รุ่งขึ้นของวันที่ ชเรมพพ์ ลาออก มูลค่าหุ้นของ ไดมเลร์ ไครสเลอร์ ก็พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 40 ยูโรมาเป็นเกือบ 50 ยูโร ต้นปี 2006 แล้วก็หล่นลงมาอยู่ต่ำกว่า 40 ยูโร ตอนกลางปี เพราะปัญหาของไครสเลอร์ ยังคงอยู่ต่อไป จนกระทั่งเป็นที่รู้กันว่า เริ่มมีความพยายามเสนอขาย ไครสเลอร์ มูลค่าหุ้นจึงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง
ในที่สุดหลังจากต่อรองกันอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาเกือบ 4 เดือน เซทเช และ ลาโซร์ดา(LASORDA) ซีอีโอ ของ ไครสเลอร์ ก็ประกาศความสำเร็จของการเจรจาขายหุ้น 80.1 % ของไครสเลอร์ แก่กลุ่มนักลงทุน CERBERUS กลางดึกวันที่ 14 พค. ที่ผ่านมา ซัพพลายเออร์ระดับยักษ์อย่าง แมกนา (MAGNA) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนสัญชาติออสเตรีย-แคนาดา ซึ่งเข้าร่วมประมูลซื้อ ไครสเลอร์ ด้วย ยังไม่สามารถสู้พลังของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อย่าง CERBERUS ได้
ดูความหมายของชื่อก็เข้ากับบทบาทอย่างมาก เพราะเป็นชื่อของหมาจากนรก ตามตำนานของกรีกโบราณ ผู้สันทัดกรณีวงในให้ความเห็นว่า สิ่งที่ CERBERUS ต้องการจาก ไครสเลอร์ คือส่วนที่เกี่ยวข้องกับไฟแนนศ์เท่านั้น ด้านการผลิตนั้น CERBERUS ไม่ถนัดและไม่ค่อยสนใจด้วย งานนี้ แมกนา ยังมีโอกาสรับช่วง เพราะปัจจุบันก็มีพนักงานที่ทำงานให้ ไครสเลอร์ ถึง 20,000 คน อยู่แล้ว
ที่ปรึกษาของ CERBERUS ให้การต่อรองก่อนซื้อ ไครสเลอร์ ไม่ใช่ใครที่ไหน CERBERUS จ้าง เบร์นฮาร์ด อดีตนักบริหารดาวรุ่งที่เคยถูก ชเรมพพ์ ปลดกลางอากาศแล้วไปบริหารเป็นมือสองให้ โฟล์คสวาเกน แล้วถูกประธาน พีค ปลดไปอีกรอบนั่นเอง เพราะรู้สายสนกลในของ ไดม์เลร์ ไครสเลอร์ ดีที่สุดนั่นเอง เว้นเสียแต่ว่า เบร์นฮาร์ด จะแกล้งโง่ หรือแกล้งลืมบางเรื่อง เพื่อหวังจะกลับมาใหญ่ใน ไดมเลร์ เบนซ์ อีก เพราะคู่ปรับอย่าง ชเรมพพ์ ก็ปิ๋วไปแบบหมดโอกาสกลับมาอีกแล้ว
เมื่อปล่อย ไครสเลอร์ ออกไป อันดับผู้ผลิตรถรายใหญ่ของโลกของ ไดมเลร์ เบนซ์ ก็หลุดเกินตำแหน่งที่ 10 ทันที แทนที่จะอยู่ที่อันดับ 7 ด้วยจำนวน 4.2 ล้านคัน เหลือเพียง 1.6 ล้านคันในอันดับที่ 12 ของปีนี้ ส่วน ไครสเลอร์ อยู่ในอันดับ 9 ด้วยจำนวน 2.3 ล้านคัน ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อันดับ 1 ของปีนี้ จะเป็นของ โตโยตา ด้วยยอดผลิตราว 9.4 ล้านคันครับ
อาจจะมีผู้ถือหุ้นจำนวนมากที่โกรธ ชเรมพพ์ แต่คงไม่มีใครเกลียด เพราะความล้มเหลวเป็นของคู่กับความสำเร็จ มันเป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาด ไม่เหมือนนักการเมืองหรือผู้บริหารประเทศ คดโกงขายชาติ ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือแม้แต่ตายไปแล้ว ก็จะต้องถูกเกลียดชัง และสาปแช่งจากประชาชนตลอดไปอีกนานเท่านาน
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/58424