ร่มไม้ชายศาล
"ลีซิงแบบไหน"
การมีรถยนต์เพื่อนำมาใช้สอย หรือขับขี่เพื่ออวดฐานะอย่างที่เมืองไทยชอบประพฤติ อย่างแรกคือ ควักเงินซื้อแบบจ่ายสด ถัดมา คือ การเช่าซื้อ ถัดมาอีก คือ การเช่ามาขับ ส่วนพวกที่ลักขโมยนั้นไม่ต้องนับ เมื่อก่อนมีแค่นี้แหละ ต่อมาได้มีวิธีการหนึ่งเรียกอย่างฝรั่งว่า "ลีซิง" หรือ การเช่าแบบลีซิง
อย่างหลังนี้ คนบ้านเราที่ถนัดในการเช่าซื้อพากันงง มองว่าการเช่าแบบลีซิงมันน่าจะไม่ฉลาด เสียเงินทั้งที น่าจะเช่าซื้อ หรือซื้อรถมาเลยให้มันสิ้นเรื่อง ไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร งงครับ
ไม่ต้องงงหรอกครับ ข้อดีของลีซิงนั้นมีอยู่แน่นอน ไม่อย่างนั้นจะมีคนใช้บริการทำนองนี้อยู่หรือ ที่เห็นๆ คือ ภาระหน้าที่ในการบำรุงรักษารถให้อยู่ในสภาพดี ใช้งานได้ อยู่กับเจ้าของรถอย่างเต็มๆ ผู้ที่ลีซิงมามีหน้าที่ใช้รถตามปกติ อย่าใช้แบบผิดปกติจนเกิดการบุบสลายก่อนเวลาอันควร เมื่อรถโดนลักขโมย หรือประสบอุบัติเหตุ เจ้าของรถรับเต็มๆ อีกเช่นกัน ถ้าไม่ใช่ความผิดของผู้ที่เช่ารถมา
ข้อดีอีกอย่าง คือ เปิดช่องให้ผู้มีอำนาจในแต่ละหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน "คอร์รัพชัน" อันนี้เรื่องจริงนะครับ นอกจากจะมีข้ออ้างเรื่องหมดภาระในการบำรุงรักษารถ ยังเปิดโอกาสให้มีการยัดเงินใต้โต๊ะเกิดขึ้น จากบริษัทที่นำรถมาให้ลีซิง รวมทั้งการกำหนดค่าเช่าที่เกินเลย โดยมีส่วนแบ่งให้หัวหน้าหน้าหน่วยงานเหล่านั้น แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว การประมูลซื้อรถก็โกงแหลก เช่นกัน เฮ้อ ประเทศไทย
ข้อที่น่าจะถือว่าดีอีกอย่าง คือ เมื่อครบเทอมการเช่าแบบลีซิงแล้ว จะมีสัญญาขมวดท้ายไว้ด้วยว่า ถ้าผู้ที่เช่ารถไม่ทำผิดเงื่อนไขสัญญา เป็นผู้เช่าที่เจ๋ง เจ้าของรถก็จะยอมขายรถให้ไปเลย โดยมีราคาที่กำหนดไว้แล้ว
คดีนี้ "บริษัท จักรภพลีซซิ่ง จำกัด" (นามสมมุติ) ซึ่งตอนนี้ผู้บริหารใหญ่ของบริษัทซึ่งชื่อจักรภพเหมือนกัน กำลังหาทางเปลี่ยนตัวเองและชื่อบริษัทแบบด่วนจี๋ เพราะสุดเซ็งกับคำว่าจักรภพเหลือทน เซ็งเพราะอะไร ผมก็ไม่รู้นะ บริษัทนำรถเมร์เซเดส-เบนซ์ หรูหรา ตีราคาไว้ 6 ล้านกว่าบาท ให้ "บริษัท สุดยอด จำกัด" (นามสมมุติ) เช่าแบบลีซิง จ่ายค่าเช่าเดือนละเกือบ 150,000 บาท โน่นเทียว เมื่อครบ 48 เดือน ถ้าผู้เช่าทำตัวดี ไม่เคยทำผิดสัญญา ก็ให้สิทธิซื้อรถไปเลยในราคา 9 แสนกว่าบาท
บริษัทสุดยอด คงไม่สุดยอดเหมือนชื่อ ผู้บริหารสร้างภาพทำโก้ ใช้รถ เบนซ์ ฯ หรูเพื่อเสริมเครดิทอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็จอดป้าย ไม่จ่ายค่าเช่าอยู่หลายเดือน รถก็ไม่ยอมคืน บริษัทที่ให้เช่ารถต้องให้ลูกน้องเอากุญแจสำรองไปด้อมๆ มองๆ พออีกฝ่ายเผลอ ก็ขับรถมาคืนที่บริษัท แล้วทำหนังสือทวงถามให้จ่ายค่าเช่า
รถที่ค้าง รวมทั้งค่าเสียหาย เมื่อไม่เป็นผล จึงยื่นฟ้องบริษัท สุดยอม จำกัด เรียกเงิน 1 ล้านกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลย คือ บริษัท สุดยอด จำกัด กับผู้บริหารใหญ่ สู้คดี อ้างด้วยว่าการฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม สัญญาที่นำมาฟ้อง คือ สัญญาเช่าซื้อ เมื่อไม่ปิดอากร นำมาฟ้องไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง จำเลยกะนอคในข้อสุดท้ายนี่เอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญา บังคับให้จ่ายเงิน 170,000 กว่าบาท ไม่ให้ตามจำนวนที่โจทก์ร้องขอมา เข้าใจว่าศาลคงมองว่าเรียกไว้ "เวอร์" รถยึดมาคืนแล้วยังเรียกค่าเช่าอุตลุด แม้จะจ่ายน้อยลงตั้งเยอะ แต่ก็ยังไม่อยากจ่าย จำเลยพากันยื่นอุทธรณ์ แต่ผลออกมาเหมือนเดิม
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
จำเลยเล่นเกมยาวด้วยการยื่นฎีกา อ้างข้อกฎหมายเรื่องฟ้องเคลือบคลุม และสัญญาไม่ปิดอากร ต้องยกฟ้องลูกเดียว ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้อย่างสบายๆ เพราะไม่มีแรงกดดันอย่างคดีการเมืองที่บ้านเรากำลัง
ขึ้นหม้อ มีคดียุ่บยั่บไปหมด แล้วชี้ขาดออกมาว่า
งานนี้แม้ฝ่ายโจทก์ จะไม่ได้บรรยายถึงลักษณะของการเช่าแบบลีซิง ว่า เป็นสัญญาแบบไหน มีผลใช้บังคับอย่างไร แต่เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องแล้ว ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า โจทก์นำรถยนต์ให้จำเลยเช่า โดยมีข้อตกลงว่าเมื่อครบกำหนด และหากจำเลยไม่ได้ผิดข้อตกลง หรือเงื่อนไขในสัญญา จำเลยมีสิทธิซื้อรถยนต์ที่เช่าได้ตามราคาที่ระบุไว้ในสัญญา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ข้ออ้างของจำเลยที่ว่า สัญญาเช่าตามคำฟ้องเป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อไม่ปิดอากรแสตมป์ ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 118 ใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น ศาลฎีกาแทงว่า สัญญาเช่าแบบลีซิงตามคำฟ้องโจทก์นั้น ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะขายทรัพย์ที่เช่าให้แก่จำเลยเมื่อครบสัญญาเช่าแล้ว โดยจำเลยมีสิทธิเลือกซื้อทรัพย์สินที่เช่าในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หากมิได้ผิดข้อตกลง หรือเงื่อนไขในสัญญาเช่า แสดงว่ากรรมสิทธิ์ของรถที่เช่าไม่ได้ตกเป็นของจำเลย ผู้เช่าทันที สัญญานี้จึงมิใช่สัญญาเช่าซื้อ ตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 572 เพราะสัญญาเช่าซื้อนั้นเมื่อผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อครบ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อโอนไปยังผู้เช่าซื้อทันที สัญญาเช่าตามคำฟ้องไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ศาลฎีกาพิพากษายืน ให้จำเลยแพ้คดีอย่างราบคาบ
ขอบอกไว้เพื่อเป็นความรู้ เมื่อท่านงัดสัญญาใดสัญญาหนึ่งขึ้นมาฟ้อง หรืออ้างในศาล ต้องสะกิดสีข้างทนายของเราซะหน่อยว่า พ่อคุณเอ๋ย สัญญาพรรค์อย่างนี้เข้าข่ายที่จะต้องปิดอากรแสตมป์หรือเปล่า เพราะโดยปกติค่าอากรนั้นไม่เท่าไร แถมยังปิดก่อนที่จะนำไปแสดงที่ศาลก็ได้ ไม่ต้องปิดอากรมาตั้งแต่แรก ถ้ากฎหมายตีเส้นให้ปิดอากรแล้วไม่ปิด ถือว่าอันตราย ศาลเคยตัดสินให้หมดสิทธิอ้างสัญญานั้น ๆ แล้วแพ้คดีอย่างไม่เป็นท่า ฝ่ายที่ชนะแบบนี้ ถือว่าชนะฟาวล์ หรือชนะฟลุค พากันหัวเราะร่วนลงจากศาล เหมือนกินกัญชาทั้งกำก็แล้วกัน
อีกอย่าง แม้จะเข้าข่ายไม่ต้องปิดอากร แต่ถ้าเราจะปิดอากร เสียเงินเข้าหลวงสักหน่อย ก็น่าจะดี เมื่อเล็งว่าคู่ต่อสู้มันต้องอ้างเรื่องนี้อยู่แล้ว ทำให้อีกฝ่ายหมดข้ออ้างที่จะเล่นเกมยาวได้เหมือนกัน ลองเอาไปคิดดูนะครับ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2548
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/58110