รุ่นนี้พอมีเหลือ
ข้าพเจ้ากับภาพยนตร์
ข้าพเจ้าเป็นคนชอบภาพยนตร์มาตั้งแต่เล็ก ในชีวิตค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยภาพยนตร์
ในรอบอายุเกิน 6 รอบของข้าพเจ้าเวลานี้ ถ้าจะพูดว่าเป็นภาพยนตร์เสีย 4 รอบกว่าก็ไม่น่าจะเป็นความผิดพลาด
เมื่อยังเล็ก ข้าพเจ้าก็เริ่มต้นเขียน "สตอรีบอร์ด" ตามฝาบ้านของพ่อแม่ข้าพเจ้า เขียนเป็นรูปบ้าน
มีหน้าต่าง ประตู หลังคา และเมื่อมีบ้านฉากต่อไปก็ต้องมีถนน มีท้องฟ้าซึ่งใช้ก้อนเมฆสื่อความหมาย
ต่อไปก็ต้องมีต้นไม้ มีนกเกาะบ้าง บินบ้าง
ถ้ามีสายน้ำ ก็ต้องมีเรือ แต่มีถนน ไม่จำเป็นต้องมีรถ เพราะสมัยข้าพเจ้ายังเล็กมาก
ยังไม่มีรถยนต์ให้เห็น มีแต่เรือขวักไขว่ไปมา
ข้าพเจ้าจำได้ว่า สมัยยังเป็นเด็กลูกชายเสมียนอำเภอริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้น
มีเรือมาเทียบฝั่งหน้าอำเภอ บรรทุกอุปกรณ์การฉายหนังกลางแปลงมาด้วย
และได้อาศัยแรงข้าพเจ้านั่นแหละเป็นส่วนหนึ่งขนอุปกรณ์เหล่านั้นขึ้นฝั่ง ค่าแรงเป็น "นกหวีด" ตัวเล็กๆ หนึ่งตัว ซึ่งเป็นของเล่นที่ข้าพเจ้าชอบ หนังกลางแปลงหรือโมบายล์ภาพยนตร์สมัยข้าพเจ้ายังเล็ก เป็นหนังเงียบ แต่อึกทึกครึกโครมก็เพราะมีวงเครื่องปี่เครื่องตีฉาบใหญ่ผสมกันระหว่างฉาย บทเพลงทำนอง "ตี๊ตาต่าตี๊..." ข้าพเจ้าได้ฟังจากการบรรเลงเพลงของวงดุริยางค์เคลื่อนที่เหล่านี้ เมื่อตัวแสดงในภาพยนตร์เกิดการต่อสู้กันขึ้น
ภาพยนตร์เป็นความบันเทิงของมนุษย์ ตั้งแต่ร่างกายยังเล็กไม่โตจนกระทั่งโตแล้วก็ยังชอบภาพยนตร์
ดังเช่นร่างกายของข้าพเจ้า เป็นต้น
เมื่อข้าพเจ้าโตขึ้นจนถึงระดับมัธยม โดยสมัยนั้นต้องเรียนประถม 4 ปี เรียนมัธยมอีก 6 ปี เรียน 7-8 อีก
2 ปี จึงจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยต่อไปได้ ข้าพเจ้าติดตามคุณพ่อซึ่งรับราชการมาประจำอยู่จังหวัดนครปฐม
ข้าพเจ้าก็หนีไม่พ้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เนื่องจากบริเวณหน้าองค์พระปฐมเจดีย์มีโรงมหรสพ 2 โรง
ตั้งหันหน้าเข้าหากัน
ถ้ายืนหันหน้าเข้าหาองค์พระปฐมเจดีย์ ด้านพระร่วงโรจนฤทธิ์แล้ว ทางขวามือจะเป็นโรงลิเก ส่วนทาง
ซ้ายมือก็จะเป็นโรงหนัง ซึ่งข้าพเจ้ามีประสบการณ์ทั้ง 2 ฟาก
ลิเก เป็นความบันเทิงที่คุณแม่ข้าพเจ้าชอบ ส่วนหนังเป็นความสุขส่วนตัวของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในตระกูลที่มั่งคั่ง คุณแม่ข้าพเจ้ามีสตางค์ซื้อตั๋วดูลิเกได้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รับอนุญาต
ให้เอาสตางค์มาดูหนัง
โรงหนังเป็นโรงมหรสพเก่าแก่ ฝาด้านข้างของโรงหนังเป็นไม้กระดานเก่าๆ บางช่วงบางตอนก็เว้าแหว่ง
อันเป็นจุดสังเกตสำคัญของข้าพเจ้า เหมาะสำหรับยุทธการงัดแงะแล้วปีนเข้าไปโดยอาศัยความมืด
เป็นฉากกำบัง
สมัยนั้นเป็นเวลาที่ประเทศไทยถูกกองทัพญี่ปุ่นยกทหารผ่านประเทศ
เพื่อจะออกทางพม่าไปตีอินเดียของอังกฤษ โดยจะอาศัยการสร้างทางรถไฟเป็นต้นกำเนิดของคำว่า "ทางรถไฟสายมรณะ"
จังหวัดนครปฐมเป็นจังหวัดติดต่อกับบ้านโป่ง เมืองกาญจนบุรี หนองปลาดุก และแม่น้ำแคว จึงทำให้
เกิดนิยายเรื่อง "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" ที่เขียนโดย เมอซีเออร์ ปีแอร์ บูลล์ นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส
และได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์โดยฮอลลีวูด มีการว่าจ้างดาราไทยสาว 4
คนไปร่วมแสดงกับดาราดังๆ อย่าง วิลเลียม โฮลเดน, อเลค กินเนสส์, แจค ฮอว์กินส์ และเจฟฟรีย์ ฮอร์น ซึ่งแสดงเป็นเรื่องแรก ผู้อำนวยการสร้างคือ แซม สปีเกิล
หนังที่ข้าพเจ้าได้ดูจากโรงหนังหน้าองค์พระนั้น ที่จำได้ ก็มีทั้ง "พระเจ้าช้างเผือก"
"น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง" ส่วนหนังจีนก็ตื่นเต้นมาก เมื่อเห็นนักแสดงสาวจีนเล่นเป็น "นางโอลี จู" กระโดดขึ้นหลังคา วิ่งอยู่บนหลังคาเป็นว่าเล่น
ข้าพเจ้าชอบเรื่อง "น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง" อันเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากผลกระทบน้ำท่วมครั้งใหญ่ปี
2485 ของกรุงเทพมหานคร ท่วมไปหมดทุกแห่งรวมทั้งลานพระบรมรูปทรงม้า ท่วมหนักมากในระหว่างเดือนกันยายน จนถึงขนาดเปิดการแข่งเรือที่ลานพระรูปได้เลย แต่ถึงอย่างไรภาวะน้ำท่วมจากกรุงเทพ ฯ
มาไม่ถึงใจกลางจังหวัดนครปฐม มีเพียงส่วนปลายตั้งแต่ซอย 6 ของถนนเทศาเท่านั้น อันเป็นที่ตั้งของ
โรงเรียนประจำจังหวัดชายได้รับภาวะน้ำท่วมเล็กน้อย
วันนั้น ตลาดสดยังขายข้าวสารในราคาถังละ 90 สตางค์ แต่คนไม่นิยมเข้าแถวซื้อเพราะมีอาหาร
ใหม่ล่าสุด แนะนำโดยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม คือ ก๋วยเตี๋ยว
เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อและทำให้ข้าพเจ้าตระหนักถึงความสำคัญของการทำประชาสัมพันธ์และการ
โฆษณาทันที
การประชาสัมพันธ์ คือ การโฆษณาที่ฝรั่งเรียกว่า "BELOW-THE-LINE" ส่วนการโฆษณา หมายถึง
การแจ้งความตรงๆ เช่นลงแจ้งความตามหน้าหนังสือพิมพ์ เสียสตางค์ให้กับเจ้าของหนังสือพิมพ์
ซึ่งฝรั่งเรียกว่า "ABOVE-THE-LINE"
จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีจิตวิทยาเป็นเลิศ
ให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของรัฐบาลปรุงก๋วยเตี๋ยวใส่เรือพาย
เข้าไปขายถึงทำเนียบรัฐบาลซึ่งในยุคนั้นเรียกว่า "ทำเนียบสามัคคีชัย"
นอกจากภาพยนตร์ดังกล่าวทั้งไทยและจีนแล้ว ก็เป็นภาพยนตร์ฝรั่งพูดภาษาอังกฤษ
ฟังไม่รู้เรื่องหลายเรื่อง ฟังรู้เรื่องก็หลายเรื่อง เพราะมีการพากย์เป็นภาษาไทย
ข้าพเจ้ากำลังเริ่มต้นเรียนชั้นมัธยม เวลาว่างก็เอากระดาษจากสมุดเรียนมาฉีกออก ทำเป็นลักษณะ
ยาวๆ เหมือนลักษณะของเนื้อฟีล์มหนังขนาด 35 มม. ฉีกแล้วข้าพเจ้าก็เขียนภาพใส่ลงไปเป็นช่องๆ
เป็น "สตอรีบอร์ด" กลายๆ ผสมกับ "การ์ตูน" กลายๆ มีบทสนทนารวมอยู่ด้วยเป็นภาษาอังกฤษ
ซึ่งเขียนไม่เป็นตัว ไม่เป็นคำ แต่เขียนอักษรทั้งหมดของภาษาอังกฤษแบบส่งเดช
เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็เอากระดาษเหล่านั้นมาปะติดกันยาว ม้วนกลม แล้วก็เอาใส่ในโต๊ะเรียนอันเป็นโต๊ะ
ลักษณะเปิดฝาด้านบน สอดกระดาษขึ้นมาตามช่องให้ดูทีละภาพๆ
การฉายภาพยนตร์ในชั้นเรียนของข้าพเจ้ามีอายุไม่นาน เพราะมีอุปสรรคหลายด้าน เก็บสตางค์จาก
เพื่อนในชั้นก็ไม่ได้ ครูประจำชั้นก็เป็นคนวิสัยทัศน์แคบมองด้านเดียวว่าการเล่นของข้าพเจ้าในชั้นเรียน
เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ไม่มองด้านที่ว่า มันคือเทคโนโลยีที่ข้าพเจ้าประดิษฐ์
ข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนสถานที่ฉายภาพยนตร์มาเป็นที่บ้าน โดยวิวัฒนาการเทคโนโลยีขึ้นเป็นระดับดิจิทอล
สมัยนั้น แว่นขยายเป็นของตื่นเต้นสำหรับเด็กเช่นข้าพเจ้า อำนาจของแว่นขยายนี้สามารถสะท้อน
แสงอาทิตย์ และก่อให้เกิดการเผาไหม้ได้ มิใช่เพียงแค่ขยายภาพเท่านั้น
ข้าพเจ้าเอาเนื้อฟีล์มภาพยนตร์ขนาด 35 มม. ที่เก็บมาได้จากการทิ้งขว้างของเศษหนังในโรงหนังหน้า
องค์พระ มาตัดเป็นทีละภาพ แล้วก็เจาะรูฝาบ้านเป็นวงกลม ใช้กระจกเงาสะท้อนแสงดวงอาทิตย์ผ่านรู
เข้าไปในห้องที่ข้าพเจ้านอน ปิดหน้าต่างเพื่อให้มีความมืด แล้วก็เอาฟีล์มหนังผ่านแว่นขยาย
ฉายออกไปยังฝาผนังห้อง ได้ภาพใหญ่โตขึ้นมา ตื่นเต้นโครมครามอยู่คนเดียว
ขณะนั้นข้าพเจ้าอยู่ในวัย พรีทีนส์ มีงานอดิเรกที่ต้องปฏิบัติอย่างหนึ่งคือ
เหยียบให้คุณแม่บ่อยครั้งในเวลากลางคืน ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ข้าพเจ้ามักถูกถามว่า
"โตขึ้น เอ็งจะเป็นอะไร"
ข้าพเจ้าก็มักตอบเสมอว่า "อยากเป็นเจ้าเมียง" (อยากเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนั่นแหละ)
ซึ่งไม่ใช่คำตอบที่ตรงกับใจข้าพเจ้าเลย เพราะใจข้าพเจ้าสมัยนั้นลงคลองเดียวคือ
"เป็นอะไรก็ได้ ขอให้โตเร็วๆ เข้าเถอะ"
ใช่, ข้าพเจ้าทะลึ่งและอยากให้ร่างกายโต เพื่อทุกอย่างในตัวมันโตขึ้นและโตขึ้น สันดานนี้จะมาจาก
อิทธิพลของภาพยนตร์ที่ข้าพเจ้าชอบหรือไม่ ข้าพเจ้าค้นหาไม่พบในสมัยนั้น และไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ที่ข้าพเจ้าต้องเสียเวลาค้นหา
ข้าพเจ้ากลับสังเกตอวัยวะของข้าพเจ้าอย่างเดียว โดยไม่กลัวเสียเวลา ด้วยความอยากรู้ว่า เมื่อไร
วันเดือนปีอะไร ข้าพเจ้าจะโตเป็นหนุ่ม
และข้าพเจ้าก็ตื่นเต้นมาก เมื่อบรรลุความเป็น "หนุ่ม" จำได้ว่าข้าพเจ้าประกาศความเป็นหนุ่มอย่าง
กึกก้องอยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่แปลกใจว่า คำประกาศเหล่านั้นไม่ได้ผ่านทางปากแต่ดันผ่านมือขวา
ของข้าพเจ้าเอง
ถึงเวลานี้ การดูภาพยนตร์ของข้าพเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนไป
เรื่องโดย : ไก่อ่อน
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/57788