รุ่นนี้พอมีเหลือ
เดือนแห่งปากและท้อง
ในรอบ 12 เดือนของแต่ละปี ดูเหมือนเดือนพฤษภาคม จะเป็นเดือนที่โหดสุดของหัวหน้าครอบครัวทุกอย่างตึงมือตึงไม้ไปหมดแทบไม่มีเงินเหลือตัดผม
ปัจจัยหลักของเดือนพฤษภาคม อยู่ที่การเปิดเทอม การเริ่มต้นการศึกษาเล่าเรียนของบุตรธิดา ซึ่งมีความหมายเกี่ยวพันไปถึงสิ่งต่างๆ มากมาย
ตั้งแต่เครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์การเรียน ไปจนถึงค่าเทอม สมัยผมเรียนระดับมัธยมตอนต้นก็ต้องซื้อหมึกใหม่ ซื้อกระดาษซับหมึก ซื้อกระเป๋าใส่สมุดหนังสือ เพิ่มกระดุมเพื่อให้ใหญ่โตขึ้น แบกหนักขึ้นกว่าปีที่แล้ว
เสื้อนักเรียนก็ต้องไปหาซื้อแถวบางลำพู ห้างสมใจนึก มาก่อนร้านอื่นใด เลือกหาซื้อกันเต็มร้าน ใช้เวลาไม่น้อยในการหาสิ่งของเหล่านี้
ไม่มีใครสนใจว่า จะต้องซื้อผงซักฟอกยี่ห้อใดซักแล้วเสื้อจะขาวผ่อง ผงซักฟอกในตอนนั้นมีแต่ยี่ห้อแฟ้บยี่ห้อเดียว ถ้าไม่ใช่สบู่ซันไลต์ ก็ต้องใช้แฟ้บ
ถ้านักเรียนมีน้องก็ต้องดูอีกว่า น้องเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ถ้าพี่เป็นชายน้องเป็นหญิงก็จบข่าว เสื้อผ้าเลิกพูดไปได้ เหลือแต่ตำราเรียนเท่านั้น ดูหลักสูตรกันอีกทีว่า น้องพอจะใช้หนังสือเก่าของพี่ได้หรือไม่ ?
รองเท้านักเรียน ก็ไม่ต้องไปหาให้มันไกล บางลำพู ดูจะเป็นแหล่งรองรับเทศกาล BACK TO SCHOOL ได้อย่างครบวงจร มีทั้งรองเท้าตัดและสำเร็จรูป แถมยังมีถุงเท้าให้ลองสวมกับรองเท้าอีกด้วย
ผมเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สะพานพุทธ เสื้อของผมไม่ต้องปักเพียงติดเครื่องหมายก็พอแล้ว รู้กันว่าเป็นนักเรียนชั้นมัธยม 7 หรือ 8 ซึ่งเทียบเท่า มัธยม 5 และ 6 ในปัจจุบันนี้
บ้านผมอยู่ฝั่งธน ฯ ต้องขึ้นเรือที่ท่าพรานนก ติดกับท่าศิริราช เพื่อข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา มาขึ้นรถรางที่ท่าช้างวังหลัง ผ่านท่าเรือราชวรดิตถ์ ผ่านท่าเตียน ปากคลองตลาด ถึงสะพานพุทธ
วันหนึ่ง ผมยืนบนโป๊ะเรือท่าพรานนก พลัดตกน้ำรีบตะเกียกตะกายปีนขึ้นมาใหม่ สิ่งแรกที่ผมทำก็คือรีบจัดการถอดเข็มที่อกเบื้องซ้ายออก เพราะรู้สึกอายที่ตกน้ำ ก่อนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านพักแถวบ้านขมิ้น อรุณอมรินทร์
ค่าเทอมดูเหมือนจะเป็นรายจ่ายที่คุกคามหัวหน้าครอบครัวมากที่สุด ถึงเดือนนี้ผู้คนแทบไม่อยากไปตลาดเพื่อซื้อกับข้าว แทบลืมไปเลยว่า ความจำเป็นในการดำรงชีวิตของคนเรานั้น ไม่ใช่ส่งลูกหลานไปเรียนหนังสืออย่างเดียว ต้องกิน ต้องอยู่
ต้องกินก็คือ ต้องออกไปซื้อกับข้าว ต้องอยู่ก็คือ ต้องเสียค่าเช่าบ้าน หรือค่าผ่อนบ้าน ซึ่งสมัยนั้นการซื้อบ้านผ่อนส่งยังไม่คึกคักเหมือนสมัยนี้
เทศกาล BACK TO SCHOOL หรือเดือนพฤษภาคม ส่งผลกระทบไปยังเศรษฐกิจทุกระดับ แม้แต่ร้านตัดผม ช่างตัดผมจะบ่นไม่เลิกอยู่สองวัน วันหวยออก และวันเปิดเทอม
วันหวยออกนั้น ถือกันเป็นประเพณีของสมัยนั้นว่า มี 10 บาทก็ควรเสี่ยงโชคซื้อลอทเตอรี ดีกว่าเอา 10 บาทไปตัดผม
โรงภาพยนตร์ชั้นหนึ่งทุกโรงในกรุงเทพ ฯ จะกำหนดล่วงหน้าเป็นประจำทุกปีว่า ควรจะจัดโพรแกรมฉายภาพยนตร์เรื่องใด จึงจะเหมาะสมสำหรับเดือนพฤษภาคม
ผมเคยทำอาชีพเป็นหัวหน้าโฆษณาประจำโรงภาพยนตร์หลายแห่งในกรุงเทพ ฯ ทั้งที่ ควีนส์ วังบูรพา ออสการ์ ถนนเพชรบุรี สุขุมวิท ปากซอย 41 เอเธนส์ ราชเทวี เมโทร ประตูน้ำ เพชรรามา ประตูน้ำกรุงเกษม ใกล้หัวลำโพง
ถึงเดือนพฤษภาคม จะเป็นเดือนที่แห้งแล้งที่สุดของโรงภาพยนตร์ ส่วนใหญ่มักไม่เอาหนังใหญ่เข้าฉาย เพราะยากที่จะดูดดึงหัวหน้าครอบครัว ผู้ปกครองนักเรียน ให้เสียเงินตีตั๋วเข้ามาดูหนังใหญ่
จำเป็นต้องเลือกหนังเล็กๆ มาฉาย ฉายกันแบบประทังชีวิต 7 วันถอดทิ้งหรือไม่ก็ 14 วันเป็นอย่างมาก
ถ้าไม่มีหนังเล็กก็ต้องเลือกหนังประเภทมีลูกค้าเป็นกลุ่ม เช่น หนังตุ๊กตาทอง หนังชีวิตหนักๆ หรือไม่ก็เป็นหนังการ์ตูนของวอลท์ ดิสนีย์ ต้อนรับหนูๆ เปิดเทอมไปในตัว
ความร้อนของเดือนพฤษภาคม อาจจะได้รับการบรรเทาเบาบางจากหยาดฝน แต่ไม่สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครอง สิ่งเดียวที่จะมีอิทธิพลทุเลาความร้อนของหัวหน้าครอบครัวหรือผู้ปกครองได้ ก็คือ โรงรับจำนำ
ทั้งโรงรับจำนำของรัฐบาล และโรงรับจำนำของเถ้าแก่ จะเป็นการค้าขายที่รุ่งเรืองมากที่สุดในเดือนนี้
ถ้ามองโลกในแง่ดี เดือนพฤษภาคม ก็เหมาะสำหรับชายหนุ่มและหญิงสาวที่จะปลูกรักเพื่อการแต่งงานในเดือนถัดไป คือ เดือนมิถุนายน ประพฤติตัวให้สมกับเป็นเจ้าสาวแห่งมิถุนายน ว่ากันว่าต้องโฉลกแห่งความรักสุดประมาณได้
เหตุที่ว่า ทำไมต้องเลือกเดือนมิถุนายน เป็นเดือนแต่งงาน ผมก็ไม่ทราบเหตุผล สมัยที่ผมยังเป็นหนุ่มเรียนธรรมศาสตร์ เลือกหาสาวๆ ก็ต้องไปแวะเวียนเตร่อยู่แถววังบูรพา มีโรงภาพยนตร์ถึงสามโรง คือ คิงส์, แกรนด์ และควีนส์
นอกจากมีโรงภาพยนตร์แล้ว ห้างเซนทรัลก็อยู่ตรงนั้นละ มีสินค้าครบให้เลือกซื้อ และมีสาวๆ ให้เลือกดูทั้งคนขายและคนที่เข้าไปซื้อ
สมัยที่กรุงเทพ ฯ ยังมีฤดูหนาว ลมหนาวพัดแรงมากที่มหาวิทยาลัยเกษตร บางเขน มีงานของ มหาวิทยาลัยในฤดูหนาวทุกปีเป็นประจำ ซึ่งความหมายของงานนี้ก็อยู่ที่การลีลาศโต้รุ่ง ผมก็ไม่เคยพลาด ที่พลาดก็คือ ไม่ได้สาวอย่างที่คิด
ฤดูหนาวป้อนความสวยให้กับผู้หญิง เหมือนกับบังคับให้หนุ่มๆ แต่งกายสุภาพมากขึ้น เพราะต้องสวมแจคเกท กันหนาว
แต่พอถึงฤดูร้อน ผู้ชายอย่างผมก็ว่า ผู้หญิงสวยชนิดต้องมองถึงสองครั้ง เพราะความร้อนบังคับให้เราต้องไปตากอากาศที่ชายทะเล และที่ชายหาดก็มีผู้หญิงสวมชุดว่ายน้ำขวักไขว่ ทั้งหวาดเสียว และไม่หวาดเสียว
ถ้าไม่มีตังค์ไปเที่ยวทะเล ก็ต้องอยู่กับบ้าน รอให้ฝนตก ฝนตกแล้วก็เปิดเพลง "เมื่อฝนโปรย" ของสุนทราภรณ์ ฟังแล้วสร้างจินตนาการเอาเองตามลำพังเพื่อให้ความสุขไปกับเนื้อเพลงนั้น
"เย็นหนาวสั่นปานใด หนาวเย็นเถิบชิดดวงใจ เบียดให้ใกล้เนื้อนวลละมุน ไอตัวอบตัวอุ่น เนื้ออบอุ่นขวัญใจกลิ่นไอหอมกรุ่น อุ่นเหมือนผิงไฟ"
"อุ่นอบกายหัวใจก็อุ่นพลอย อุ่นด้วยกายโดยปลายนิ้วก้อย พร่อยจนเกินไป"
"ฝนมา อย่าเพิ่งซาหายไป ตกมาทั้งวันก็ได้ จะได้แนบเนื้อนานๆ"
นี่เป็นถึงขนาดนี้ นะครู (ครูแก้ว อัจฉริยะกุล เป็นผู้แต่งคำร้อง)
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...แม่ชีสามคนถึงแก่กรรม เดินทางไปถึงสวรรค์ พบกับนักบุญปีเตอร์ผู้ทำหน้าที่เป็นนายประตู
นักบุญกล่าวกับแม่ชีว่า "เธอสามคนได้ดำรงชีวิตที่งดงามมาตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นฉันอนุญาตให้เธอกลับไปมีชีวิตใหม่ที่โลกได้อีกครั้ง ไม่เกินหกเดือน เธออยากไปเป็นใครในโลกก็เป็นได้ทั้งนั้น"
แม่ชีคนที่หนึ่งกล่าวกับนักบุญว่า "ฉันอยากเป็น ตั๊ก บงกช" แล้วแม่ชีก็หายวับไป
แม่ชีคนที่สองกล่าวว่า "ฉันอยากเป็น บุ๋ม ปนัดดา" แล้วเธอก็หายวับ
แม่ชีคนที่สาม "ฉันอยากเป็น ทอ ทรงกาจ"
นักบุญขมวดคิ้วถามแม่ชี "ใครนะ ?"
"ทอ ทรงกาจ"
นักบุญเป็นมึนมาก "ขอโทษนะแม่ชี ชื่อนี้ฉันไม่คุ้นหูเลย เป็นใครกันหรือ ?"
แม่ชีควักหนังสือพิมพ์ออกมาแล้วส่งให้นักบุญ นักบุญเอาไปอ่านเสร็จแล้วหัวร่อก๊ากก่อนส่งคืนให้แม่ชี
"ชื่อนี้ไม่ได้ชื่อ ทอ ทรงกาจ ชื่อที่ถูกต้องคือ "ท่อส่งก๊าซ" ถ้าแม่ชีเลือกเป็นสิ่งนี้ รู้ไหมผู้ชายถึง 500 คน จะยำแม่ชีนานถึง 7 วันเชียวนะ"
เรื่องโดย : ไก่อ่อน
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/57317