รุ่นนี้พอมีเหลือ
ธรรมชาติผู้หญิง
กิรดัง ได้ยินมา ตทากาเล...กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ข้าพเจ้าสดับความมาดังนี้...
ยังมี มานพ หนึ่งศึกษาเล่าเรียนเล่ห์กลมายาแห่งอิสตรี ในสำนักวิทยาแห่งหนึ่ง ที่มีหลักสูตรวิชานี้เป็นการเฉพาะ
เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ แต่ก็ลบหลู่ไม่ได้ เพราะอาจมีวิทยาลัยอย่างนี้จริง ค่าหน่วยกิทจะเป็นเท่าไรก็ไม่ทราบ จะต้องเล่าเรียนสักกี่ปี จะครบหลักสูตรก็ไม่ทราบอีกเหมือนกัน ที่มีความรู้มาก็แต่ดั้งเดิมและรู้มาจากคำเล่าขาน ใครก็ไม่รู้บอกข้าพเจ้าว่า
"อันมายาสตรีนั้นมากกว่าร้อยเล่มเกวียน"
แต่ก็เอาเถอะ เพราะถึงอย่างไร มานพ ผู้นี้ก็เรียนจนจบ เมื่อจบแล้วก็เดินทางกลับบ้านพร้อมด้วยตำราหลายเล่มเกวียน และพร้อมด้วยความมั่นใจเต็มร้อยว่าชีวิตที่เหลือของเขานี้จะไม่มีผู้หญิงคนไหนแหกตาได้
เรียกว่าหล่อนจะมาไม้ไหน ชายหนุ่มคนนี้รู้เท่าทันเกลี้ยง
ระหว่างเดินทางเขาพักแรมที่โรงนาแห่งหนึ่ง เช่าห้องพักกับชาวไร่ คืนนั้นก็คุยใหญ่คุยโตถึงศิลปศาสตร์ที่เขาศึกษามาจนจบหลักสูตร ชาวไร่ฟังแล้วก็ซาบซึ้งอีกทั้งยังได้เห็นตำราเป็นกระบุงแต่กระนั้นชาวไร่ผู้มากด้วยประสบการณ์แห่งชีวิตก็ยังเตือนชายหนุ่มว่า
"ไอ้หนุ่มเอ๋ย, ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงละก็ เชื่อข้าเถอะ มันฉลาดนัก ไม่ต้องพูดมากหรอกข้ายินดีพนันกับเอ็งถ้าเอ็งชนะ เอ็งก็ได้บ้านและที่ดินของข้าไป แต่ถ้าแพ้ ข้าจะขอแลกม้าของเจ้าเท่านั้นพอแล้ว"
เรื่องการพนันของชาวไร่ ก็คือ พนันกับชายหนุ่มว่า ลำพังเมียของชาวไร่ ที่ไม่ได้เรียนหนังสือมาแม้แต่ตัวเดียวก็สามารถแหกตาชายหนุ่มได้ ถ้าหล่อนตั้งใจจะทำ
ชายหนุ่ม ผู้จบปริญญาตรีก็รับพนัน
ชาวไร่ก็บอกความทั้งสิ้นกับเมีย ก่อนจะเดินทางเข้าไปขายสินค้าในเมือง และเมื่อสามีไปแล้วเมียของชาวไร่ ก็เริ่มต้นเล่นบทพนันทันที ด้วยการเรียกชายหนุ่มเข้าไปในห้องนอนและพูดว่า
"ฉันยังสาวและยังสวย สามีของฉันมักบ่นเหนื่อยทุกๆ วัน หลังกลับมาจากผืนไร่ เป็นเหตุให้เขาไม่ได้หลับนอนกับฉันนาน นี่ก็ร่วมจะเดือนหนึ่งแล้วนะคุณ"
ฟังครั้งแรก ชายหนุ่มก็คิดว่านางผู้นี้เจตนาจะมาหลอกเขา แต่พอหล่อนเปลื้องเสื้อผ้าออกจนหมดตัว และยังได้บอกให้เขาแก้ผ้าตามหล่อนด้วย ชายหนุ่ม ก็คิดว่าคำพูดของหล่อน
น่าเป็นเรื่องจริง
คิดเช่นนั้นแล้ว หัวใจของชายหนุ่มก็เต้นเหมือนกลองเพลตามวัด หรือไม่ก็เหมือนระฆังที่สั่นระรัวของรถดับเพลิง
"เรื่องนี้เห็นทีไม่ใช่มายาสตรีแน่" ชายหนุ่มบอกตนเอง "เพราะตอนนี้สามีนางก็ไม่อยู่บ้าน และถึงไงชาวไร่ก็คงไม่รู้เรื่องอย่างนี้แน่"
ชายหนุ่มก็เลยเปลื้องผ้า และตรงเข้ากอดเมียชาวไร่ เท่านั้นเอง เมียชาวไร่ก็แหกปากร้องให้คนช่วย ทันทีทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้อง ซึ่งเมียชาวไร่ก็ว่าเป็นพวกเพื่อนชาวไร่แห่กันมาแน่นอน
"นอนกับพื้นเดี๋ยวนี้" เมียชาวไร่บอกชายหนุ่ม แล้วก็รีบสวมเสื้อผ้า จับปากชายหนุ่มอ้าขึ้นแล้วยัดขนมปังลงไปคาปาก 1 ชิ้นใหญ่ เสร็จแล้วก็ไปเปิดประตู"
คนที่เข้ามาก็คือ เพื่อนๆ ของชาวไร่ และฝ่ายผู้หญิงเป็นคนรายงานเหตุการณ์ว่า
"แขกของเราคนนี้กำลังจะขาดใจตายเพราะขนมปังติดคอ ช่วยเขาด้วยเถอะ"
เพื่อนชาวไร่ก็จัดการแหกปากชายหนุ่มออก พยายามเอาก้อนขนมปังออกจากปากของเขาในขณะที่ชายหนุ่ม แสร้งทำเป็นหมดสติ เมียชาวไร่ก็เอาผ้าชุบน้ำมาลูบไล้ใบหน้าและบริเวณหน้าอก จนกระทั่งเขาสามารถลืมตาได้อีกครั้ง
เมื่อเพื่อนๆ ชาวไร่ พากันกลับบ้านไปแล้ว เมียชาวไร่ก็หัวเราะเสียงดังและถามว่า
"คุณเคยพบเรื่องแบบนี้ในตำราของคุณบ้างไหม ?"
ชายหนุ่มยอมรับความพ่ายแพ้โดยดุษฎี ท่ามกลางความเงียบ เขาหอบตำราทั้งหลายพร้อมทั้งโนทบุค มากองพะเนินแล้วจัดการเผาทิ้ง
รุ่งเช้า เขาก็ออกเดินทางต่อไปด้วยเท้าเปล่า เมียของชาวไร่ ยังได้ยินเสียงเขารำพึงรำพันอีกว่า
"ความรู้ลึกยังอยู่กับอสรพิษและอิสตรี"
วันเดียวกับที่ข้าพเจ้าอ่านนิทานเรื่องนี้ ได้อ่านเรื่องสะเทือนใจของผู้หญิงอีกคนบนหน้าหนังสือพิมพ์
นางฆ่าตัวตายพร้อมด้วยลูกสองคนด้วยวิธีผูกคอตนเอง สาเหตุเพราะน้อยใจสามี
ท่านผู้อ่านฟังมาเท่านี้ก็อาจคิดเช่นข้าพเจ้า เป็นเพราะนางน้อยใจที่สามีไปมีเมียใหม่แต่เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น รายงานที่หนังสือพิมพ์เล่ามากลับเป็นดังนี้
ผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นครูในระดับ 7 อยู่ที่จังหวัดพัทลุง อายุ 39 ปี ตายพร้อมกับลูกชายอายุ 6 ขวบ และ 3 ขวบ สามีก็เป็นครูระดับ 7 เช่นเดียวกัน
สามีให้การว่าอยู่กินกับนางมา 6 ปีแล้ว มีลูกด้วยกัน 2 คน ไม่เคยมีเรื่อง ก่อนเกิดเหตุในตอนเช้าได้พาบิดาอายุ 77 ปี ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลพัทลุง ส่วนเมียเดินทางไปเป็นเจ้าภาพงานแต่งของน้องสาว โดยพาลูกชายทั้ง 2 คนไปด้วย
แต่เมื่อพาบิดาไปถึงโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าบิดามีปัญหาเกี่ยวกับระบบเลือดให้นำตัวไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จึงได้พาบิดากลับ และตนเองก็กลับไปที่บ้าน ซึ่งพบว่าเมียก็กลับมาจากงานแต่งกับลูกชายเรียบร้อย
ในตอนเย็นก็ออกจากบ้าน นำบิดาไปส่งที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (รพ. มอ.) และก็ไม่มีวี่แววว่าจะต้องเกิดเหตุร้ายแรง เพราะเมียยังมาปิดประตูรถให้ด้วยก่อนจะออกจากบ้านไป
การเดินทางในตอนเย็นใช้เวลานาน และได้กลับมาบ้านอีกครั้งราว 5 ทุ่มเศษ เรียกให้เมียเปิดประตูก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ ตนจึงปีนขึ้นไปบนหลังคา รื้อกระเบื้องหลังคา ครั้นเห็นภาพข้างในก็ตกใจแทบชอคเพราะเมียผูกคอตาย
สามีบอกตำรวจว่า เท่าที่เขาคาดหมาย เขาคาดว่าสาเหตุคงจะมาจากความน้อยใจที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่งของน้องเมีย
นี่คือเรื่องราวที่เก็บมาได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่ออ่านแล้วก็สะเทือนใจ และก็เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายคนก็ต้องสะเทือนใจเช่นเดียวกับผม
ขณะที่ผมเขียนเรื่องนี้ ยังมีคนที่มึนกับเรื่องนี้เหมือนกับผม และยังไม่รู้ว่าคดีนี้เป็นอย่างไรต่อไป
ถ้าเป็นความจริงตามที่สามีให้การ ก็ต้องถือว่าความเครียดของผู้หญิงนี้ร้ายกาจและรุนแรงลำพังความน้อยอกน้อยใจเพราะสามีไม่ยอมไปร่วมงานแต่งของน้องสาวเป็นเหตุถึงต้องฆ่าตัวตายซ้ำยังพาลูกตายด้วยถึง 2 คน เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ลบหลู่ไม่ได้อีกเหมือนกันเพราะอารมณ์ของผู้หญิงยากนักที่ใครจะเข้าใจ
วันเดียวกันยังมีผู้หญิงอีกรายพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดสะพานพระรามเก้า และพาลูกเล็กๆ อีก 2 คนไปด้วย นัยว่าจะให้ตายไปพร้อมกัน รายนี้น้อยใจเพราะสามีไปมีเมียใหม่แต่ตำรวจหลอกล่อและช่วยเหลือได้ทัน
ผมก็เป็นคนที่มีแม่ และมีพี่น้องถึง 6 คน เป็นเคราะห์ดีของผมที่เกิดมาเป็นลูกแม่ ซึ่งก็คงเป็นผู้หญิงที่หนีความน้อยใจไม่พ้น เพราะพ่อก็เจ้าชู้ไม่เบา ท่านไปดีดจะเข้ (ดนตรีไทยชนิดหนึ่ง)ที่ไหนเป็นต้องได้ผู้หญิงที่นั่นเป็นเมีย แต่ท่านก็อยู่กับแม่จนแก่เฒ่า ไม่มีใครคิดฆ่าตัวตาย
โชคดีของผม-ว่างั้นเถิดครับ อย่าไปว่าโลกวันนี้มันไม่สวยงามเหมือนวานนี้เลย
เรื่องโดย : ไก่อ่อน
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/57118