ชีวิตอิสระ(4wheels)
4 WHEELS แกะรอยเส้นทาง UNSEEN
แสงตะวันยามเช้าปลุกเราให้ตื่นขึ้นมานั่งจิบกาแฟ สูดอากาศที่สดชื่น จากนั้นออกเดินทางมุ่งหน้าขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยตุง ซึ่งเป็นที่บรรจุพระรากขวัญกระดูกไหปลาร้าเบื้องซ้าย ของพระพุทธเจ้า นำมาจากมัธยมประเทศ นับเป็นครั้งแรกที่พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ได้มาประดิษฐานที่ล้านนาไทย เมื่อคราวก่อสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนี้ ได้ทำธงตะขาบ หรือ ตุง ใหญ่ยาวถึงพันวา ปักไว้บนยอดดอยถ้าหากปลายธงปลิวไปไกลถึงเมืองไหนก็จะกำหนดเป็นฐานพระสถูป เหตุนี้ดอยซึ่งเป็นที่ประดิษฐานปฐมเจดีย์แห่งล้านนาไทยจึงปรากฏนามว่า ดอยตุง ดังนั้นจึงมีนักท่องเที่ยวจากที่ต่างๆ หลั่งไหลขึ้นมาสักการะองค์พระธาตุดอยตุงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งบริเวณรอบๆ มีต้นพญาเสือโคร่งออกดอกบานสะพรั่งดูร่มรื่นไปทั่ว สายหมอกพัดขึ้นมาจากเชิงเขาทำให้อากาศเริ่มเย็นมากขึ้น เราใช้เวลาไม่นานมากนักในการขึ้นมาสักการะองค์พระธาตุ
จากนั้นเดินทางต่อสู่ สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทอง อ. แม่จัน ซึ่งเรารู้จักกันดีว่าสถานที่แห่งนี้มี พระขี่ม้าบิณฑบาต ได้บรรจุไว้ใน UNSEEN THAILAND ของ ททท. โดยมี พระครูบาเหนือชัยโฆสิโตเป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรม ที่มาของพระขี่ม้าบิณฑบาต ก็เนื่องมาจากสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทองตั้งอยู่ในถิ่นกันดารห่างไกลคมนาคม แม้แต่ชาวบ้านยังต้องใช้ม้าแกลบในการเดินทางและบรรทุกสัมภาระ เหตุนี้เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ อดีตทหารม้าเก่าจึงให้พระและเณรที่นี่ใช้ม้าเป็นพาหนะในการออกบิณฑบาตไปยังหมู่บ้านสี่หมื่นไร่ ระยะทางร่วม 5 กิโลเมตร
ภายในพื้นที่บริเวณสำนักปฏิบัติธรรม ฯ ได้จัดตั้งศูนย์อนุรักษ์และปรับปรุงพันธุ์ม้าไทย (ภูเขา) หรือม้าแกลบ เนื่องจากม้าแกลบเป็นม้าที่ใช้ในวิถีชีวิตของคนแถบชายแดนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งม้าแกลบมีสภาพคล่องตัวในการใช้งาน ไม่ว่าจะบรรทุกสัมภาระ ผลิตผลทางเกษตร และใช้ขี่เป็นพาหนะเดินทาง เนื่องจากพื้นที่ชายแดนส่วนใหญ่ เป็นภูเขาสูงชัน การคมนาคมไม่สะดวก ม้าไทย (ภูเขา) จึงเป็นสิ่งจำเป็นและเหมาะสมที่สุด ด้วยจำนวนม้าไทยได้ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้พระครูบาเหนือชัยโฆสิโต ได้จัดตั้งศูนย์อนุรักษ์นี้ขึ้นมา เพื่อรักษาพันธุ์ม้าไทย (ภูเขา) ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานต่อไป สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนทางสำนักปฏิบัติธรรมเขาก็มีให้บริการขี่ม้า ด้วยนะครับ
นอกจากศูนย์อนุรักษ์พันธุ์ม้าไทย (ภูเขา) แล้ว ยังได้ตั้งศูนย์ฝึกอบรม เยาวชนชัยยุทธ์ ขึ้นมาโดยร่วมมือกับสถาบันชัยยุทธ์เชียงราย ฝึกอบรมเยาวชนและประชาชนให้สมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกาย ปัญญา และคุณธรรม โดยใช้ศิลปะการต่อสู้ของไทยเป็นแนวหลัก ให้เกิดความแข็งแกร่ง รุกรบห้าวหาญ ทั้งร่างกายและจิตใจ ควบคู่กับการปลูกฝังอุดมการณ์ ความรักความหวงแหนมรดกของชาติไทย น่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็นพระและเณรขี่ม้าบิณฑบาต แต่ก็คุ้มค่าที่ได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสดินแดนนักบุญแห่งนี้ ถึงแม้จะใช้เวลาไม่นานแต่เราก็ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ มากมายที่มีมากกว่าการมาดูพระขี่ม้าบิณฑบาต
ช่วงบ่ายแก่ๆ คณะของเราออกเดินทางสู่ อุทยานแห่งชาติแม่ฝาง จ. เชียงใหม่ ทันทีโดยทางหลวงหมายเลข 1089 ผ่าน อ. แม่อาย จ. เชียงใหม่ แล้วตรงเข้า อ. ฝาง แยกทางขวา (ถนน รพช. 4054) สู่บ้านโป่งน้ำร้อน ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่ฝาง ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร อากาศในช่วงพบค่ำบริเวณที่ทำการอุทยาน ฯ เพิ่มความหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องที่พักกางเทนท์เรียบร้อยแล้ว ก็จัดเตรียมอาหารค่ำแบบง่ายๆ ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน
เช้านี้เราตื่นกันแต่เช้ามืด เพื่อออกมาดูสายหมอกที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ถ้าพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวในอุทยาน ฯ แม่ฝาง นับว่ามีความน่าสนใจไม่แพ้ที่ใดๆ เลย โดยเฉพาะ "บ่อน้ำร้อน" ที่อยู่ในบริเวณที่ทำการ ฯ ซึ่งเป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติ มีไอร้อนคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา อุณหภูมิของน้ำประมาณ 50-87 องศา มีจำนวนมากมายหลายบ่อในพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ บ่อใหญ่มีไอร้อนพุ่งขึ้นสูงถึง 30-40 เมตร และห่างออกไปประมาณ 300 เมตร มี "ลำห้วยแม่ใจ" ที่ใสสะอาด และไหลตลอดปี เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างยิ่ง และสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่นักเดินทางรู้จักกันดีคือ "ดอยผ้าห่มปก" ที่สูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย ประมาณ 2,285 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง บนยอดดอยสูงสุดเป็นทุ่งโล่ง มีลมโกรกแรงตลอดทั้งปี เป็นจุดชมทะเลหมอก ที่สวยงามแห่งหนึ่งของเมืองไทย
จุดหมายสุดท้ายที่เราจะเดินทางไปในทริพนี้ คือ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จ. ลำปาง เราออกจากอุทยาน ฯ แม่ฝาง มาตามเส้นทางเดิมแล้วเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 107 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 109 เข้า อ. สรวย จ. เชียงราย แล้วขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข 118 ผ่าน อ. เวียงป่าเป้า เข้าทางหลวงหมายเลข 120 ผ่าน อ. วังเหนือ จ. ลำปาง จากนั้นตัดเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1035 สายแจ้ห่ม-ลำปาง จนถึงทางแยกเข้าไปยัง อ. เมืองปาน ไปตามเส้นทางอีกประมาณ 17 กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณ น้ำตกแจ้ซ้อน ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยาน ฯ แจ้ซ้อน
นอกจากชื่อ น้ำตกแจ้ซ้อน จะเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งหลายแล้ว บ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ก็เป็นจุดขายของที่นี่ จะเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีเป็นจำนวนมาก เพราะมีน้ำพุร้อนผุดจากบ่อเล็ก ถึง 9 บ่อ ในเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ เต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่ นอกจากนี้ยังมีน้ำพุร้อนที่มีกลิ่นกำมะถันค่อนข้างอ่อน อยู่ตามบริเวณใกล้เคียง และยังมี แอ่งน้ำอุ่น ที่เกิดจากการไหลของน้ำพุร้อนมาพบกับน้ำเย็นที่มาจากน้ำตกแจ้ซ้อน ทำให้เกิดแอ่งน้ำที่มีทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็นผสมกัน เหมาะแก่การแช่อาบเป็นอย่างยิ่ง หลายคนเชื่อว่าการได้อาบน้ำอุ่นเป็นการบำบัดความเมื่อยล้าของร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว
หลังจากที่แช่น้ำแร่ธรรมชาติจนหายเมื่อยแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับสู่กรุงเทพ ฯ ซึ่งตลอดการเดินทางของเรามาทั้ง 5 วัน รวมระยะทางกว่า 2,000 กิโลเมตร นับว่าเป็นทริพเดินทางที่คุ้มค่าควรแก่การจดจำยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็น มิตรภาพในการเดินทาง ผู้คน และสถานที่
เรื่องโดย : ถาวร พรมพิทักษ์
ภาพโดย : ถาวร พรมพิทักษ์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56884