รู้ลึกเรื่องรถ
นวัตกรรมลับ ! เพื่อความได้เปรียบในสนามแข่ง
การแข่งขันรถสูตรหนึ่ง (ฟอร์มูลา วัน หรือเอฟ 1) นับตั้งแต่ฤดูกาล 2021 เป็นต้นมา ถือเป็นยุคสมัยของทีม “RED BULL” (เรด บูลล์) ที่ครองความเป็นเจ้าสนาม ด้วยฝีมือการขับขี่ของนักแข่งสัญชาติเนเธอร์แลนด์ เจ้าของฉายา “ฟลายอิง ดัทช์แมน” MAX VERSTRAPPEN (แมกซ์ เวอร์สแตรพเพน) วัย 27 ปี เจ้าของแชมพ์ประเภทนักขับ 4 สมัยซ้อน และพาทีม RED BULL คว้าแชมพ์ประเภทผู้ผลิตอีก 3 สมัย
แต่ในฤดูกาล 2025 สถานการณ์กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อทีมแข่งกลางตารางอย่าง “McLAREN” (แมคลาเรน) กับนักแข่งอายุน้อย 2 คน นั่นคือ LANDO NORRIS (ลันโด นอร์ริส) สัญชาติอังกฤษ อายุ 25 ปี กับ OSCAR PIASTRI (ออสการ์ ปิอัสตรี) สัญชาติออสเตรเลียน อายุ 24 ปี กลายมาเป็นนักแข่งหัวตาราง แซงหน้า “MAX VERSTRAPPEN” ไปได้อย่างน่าทึ่ง
แน่นอนว่า พรสวรรค์ของหนุ่มน้อยทั้งสองมีอยู่เต็มเปี่ยม แม้จะเทียบกับประสบการณ์โชกโชนของ MAX VERSTRAPPEN ไม่ได้ แต่การจะแซงขึ้นหน้าแชมพ์เก่าได้นั้น มันต้องเกิดจากประสิทธิภาพของอาวุธวิเศษคู่กาย นั่นคือ รถของพวกเขาที่ชื่อว่า McLAREN MCL39 (แมคลาเรน เอมซีแอล 39) โดยเป็นรถที่พัฒนาต่อจาก MCL38 (เอมซีแอล 38) ที่เบียดแซงรถ RB20 (อาร์บี 20) ของทีม RED BULL จนทำให้ทีม McLAREN คว้าแชมพ์ประเภทผู้ผลิตฤดูกาล 2024 มาครองได้สำเร็จ
ก่อนจะไปดูว่า ความลับใดทำให้ MCL39 มีความเหนือชั้นกว่ารถแข่งทีมอื่นๆ รวมถึง RB21 (อาร์บี 21) ของทีม RED BULL ในฤดูกาล 2025 เรามาดูพื้นฐานของรถ MCL39 ของทีม McLAREN ที่ LANDO NORRIS กับ OSCAR PIASTRI ขับกันก่อน
เริ่มจากเครื่องยนต์ ทีม McLAREN เลือกใช้ MERCEDES-AMG F1 M16 E PERFORMANCE แบบ วี 6 สูบ ความจุ 1.6 ลิตร เทอร์โบ หมุนได้ถึง 15,000 รตน. วางกลางลำขับเคลื่อนล้อหลัง พ่วงด้วยระบบไฮบริดไฟฟ้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ 8 จังหวะ เปลี่ยนอัตราทดด้วยระบบกึ่งอัตโนมัติแบบซีเควนเชียล (SEQUENTIAL SEMI-AUTOMATIC) ซึ่งมีสมรรถนะทัดเทียมกับทีมอื่นๆ ภายใต้กติกาที่เข้มงวดเดียวกัน และยางที่การแข่งอนุมัติให้ใช้นั้น คือ PIRELLI P-ZERO (ปิเรลลี พี-ซีโร) สำหรับสนามแห้ง และรุ่น CINTURATO (ซินทูราโต) สำหรับสนามเปียก ซึ่งนับตั้งแต่สนามแรกถึงปัจจุบัน (วันที่เขียนบทความนี้) แข่งไปแล้ว 8 สนาม ชนะไปแล้วถึง 6 ครั้ง ขึ้นโพเดียม 14 ครั้ง คว้าโพลโพซิชัน หรือตำแหน่งสตาร์ทคันแรก 5 สนาม รวมถึงทำสถิติเวลาต่อรอบเร็วที่สุด 6 สนาม เรียกว่า McLAREN MCL39 คือ เจ้าลมกรดแห่งฤดูกาล 2025 อย่างแท้จริง
การออกแบบตัวรถเป็นฝีมือของ ROB MARSHALL (รอบ มาร์แชลล์) วิศวกรรถแข่งฝีมือดี ประสบการณ์กว่า 30 ปี และเป็นระดับหัวหน้าทีมออกแบบของทีม RED BULL RACING กว่า 18 ปี (ตั้งแต่ปี 2006-2023) และเป็นหนึ่งในผู้ออกแบบรถ RB6 (อาร์บี 6) ถึง RB9 (อาร์บี 9) ที่ SEBASTIAN VETTEL (เซบัสเตียน เวทเทล) ใช้คว้าแชมพ์โลก 4 สมัยติดต่อกัน (ฤดูกาล 2010-2013) รวมถึงรถของ MAX VERSTRAPPEN อีกด้วย
สำหรับ McLAREN MCL39 เป็นการพัฒนาต่อจาก MCL38 ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว โดยพัฒนาระบบกันสะเทือนด้านหน้าให้ระบบป้องกันหน้าทิ่ม (ANTI-DIVE) มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อให้รถมีความมั่นคงมากขึ้นขณะเข้าโค้ง และการเบรคหนักๆ นอกจากนั้น ยังปรับปรุงตำแหน่งการวางรังผึ้งระบายความร้อนเครื่องยนต์ และรูปร่างของไซด์พอด (SIDE POD) รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อผลด้านอากาศพลศาสตร์ โดยกลยุทธ์ของพวกเขา คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (INCREMENTAL CHANGE) เพื่อให้ทีมสามารถควบคุมทิศทางการพัฒนาได้แม่นยำ และยั่งยืน โดยพยายามออกแบบรถให้มีสมดุลที่ดี (WELL-BALANCED NATURE) เพื่อให้นักแข่งควบคุมรถอย่างมั่นใจ แตกต่างจากกลยุทธ์ของทีม RED BULL ที่ออกแบบรถให้ท้ายออกง่าย หรือโอเวอร์สเตียร์ เพื่อให้เข้ากับรสนิยมการขับของ MAX VERSTRAPPEN ซึ่งส่งผลให้คู่หูในทีมประสบปัญหาควบคุมรถแข่งตระกูล RB ได้ไม่ดีนัก
แต่การเปลี่ยนแปลงเพียงเท่านี้ ไม่สามารถทำให้รถของพวกเขาสร้างผลการแข่งขันที่แตกต่างได้มากขนาดนั้น เคล็ดลับของพวกเขาถูกเผยออกมาในการแข่งขันรายการ JAPANESE GP 2025 จากภาพถ่ายจับความร้อน (THERMAL IMAGE) ซึ่งเห็นชัดเจนว่า เบรคหลัง และยางหลังของรถแข่งทีม McLAREN มีอุณหภูมิต่ำกว่าของทีมอื่น ทำให้ยางของพวกเขามีประสิทธิภาพยืนยาว และรักษาเวลาต่อรอบได้ดีกว่าคู่แข่ง ทั้งๆ ที่เป็นยางยี่ห้อเดียวกัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ทีม McLAREN มีกลยุทธ์ในการ “บริหารการใช้ยาง” แตกต่างจากทีมอื่น
พวกเขาทำได้อย่างไร ?
กลยุทธ์การบริหารยางให้มีอายุยืนยาวนั้นเป็นสิ่งที่ทุกทีมต่างรู้ซึ้งดี แต่ดูเหมือนว่าทีม McLAREN จะพบเทคนิคใหม่ที่สร้างแต้มต่อใน “การลดการส่งผ่านความร้อนจากเบรคไปสู่ล้อ และยาง” เราสามารถสังเกตเห็นการออกแบบท่อดูดอากาศเข้าไปยังครอบเบรคหลังที่มีหน้าตาแตกต่างจากของคู่แข่ง และมากไปกว่านั้น คือ ผู้คนที่เกี่ยวข้องในวงการแข่งรถต่างโจษจันกันว่า พวกเขามีการใช้เทคนิคพิเศษทางวัสดุศาสตร์
ไม่มีใครนอกจากคนวงในของทีม McLAREN ที่จะรู้ว่า พวกเขาทำอะไรลงไป แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์พยายามแกะรอยออกมา มีดังนี้
1. การใช้อากาศระบายความร้อนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
อุณหภูมิของจานเบรครถแข่งสูตรหนึ่งนั้น สามารถเพิ่มขึ้นสูง 600-800 องศาเซลเซียส และนี่คือความท้าทายที่วิศวกรผู้ออกแบบจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ความร้อนของจานเบรคส่งผ่านล้อลงไปถึงยาง เราจึงเห็นได้ว่า รถแข่งสูตรหนึ่งจะมีการออกแบบครอบจานเบรค ลักษณะเหมือนกับ “ถังขยะ” ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ครอบระบบเบรคไว้ หน้าที่ของมัน คือ ป้องกันไม่ให้ความร้อนจากเบรคแผ่ไปถึงล้อ และยาง
ดังนั้น ในการออกแบบระบบเบรคหลังของ MCL39 นักวิเคราะห์จึงพยายามสังเกตตอนที่รถอยู่ในช่องซ่อมบำรุง และมีการถอดถังครอบออก เผยให้เห็นหน้าตาของระบบเบรค และต้องพยายามถอดรหัสจากรูปลักษณ์ของมันออกมา พบว่ามันมีการออกแบบช่องดูดอากาศแยกออกไปหลายช่องมาก โดยอากาศจะถูกลำเลียงไปยังส่วนต่างๆ อาทิ ด้านใน และด้านนอกของจานเบรค, คาลิเพอร์เบรค และระบายความร้อนของตัวครอบ ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ การพัฒนาต่อยอดมาจากของ MCL38
2. การใช้วัสดุที่เปลี่ยนสถานะได้ PHASE CHANGE MATERIAL หรือ PCM
คนจำนวนมากเชื่อว่า แค่การใช้อากาศอย่างเดียวไม่เพียงพอกับการระบายความร้อนมหาศาลเหล่านั้น เคยมีวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของ MARTIN BUCHAN (มาร์ทิน บูชาน) หนึ่งในวิศวกรทีม McLAREN เรื่องเกี่ยวกับนวัตกรรมการลดอุณหภูมิ ด้วยการใช้วัสดุเปลี่ยนสถานะได้ หรือ PHASE CHANGE MATERIAL และเขาเคยนำมาใช้กับการระบายความร้อนให้แบทเตอรีของรถแข่งพลังไฟฟ้าในรายการ ฟอร์มูลา อี มาก่อนแล้ว จึงมีคนเสนอแนวคิดว่า เป็นไปได้ว่าถังครอบเบรค อาจจะเป็นโครงสร้างแบบแซนด์วิชที่มีเปลือก 2 ชั้น และมีไส้เป็นวัสดุ PCM ที่สามารถเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว เมื่ออุณหภูมิสูงถึงระดับหนึ่ง เพื่อรักษาให้อุณหภูมิไม่ขึ้นสูงเกินกว่าค่าที่กำหนด ซึ่งจะส่งผลในการแข่งที่วิ่งนาน และเมื่อแข่งเสร็จมันก็จะกลับเป็นของแข็งเช่นเดิม พร้อมช่วยลดการเสื่อมสภาพของยางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับข้อกล่าวหาเรื่องการใช้น้ำในการระบายความร้อนยางนี้ถึงกับทำให้ ZAK BROWN (แซค บราวน์) ทีมบอสส์ของ McLAREN ประชดประชันด้วยการทำกระบอกน้ำติดสติคเกอร์ว่า “TIRE WATER !” หรือ “น้ำสำหรับยาง” ทั่วทั้งกระบอก แล้วยกขึ้นดื่มให้คนถ่ายรูปเล่น ประมาณว่า “อยากจะเชื่ออะไรก็เชื่อไปเถอะไอ้ทิด”
ส่วนองค์กรผู้จัดการแข่งขัน FIA มีการเข้าไปตรวจสอบหลังการแข่งจบ และยืนยันว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ หรือผิดกติกาในการออกแบบระบบเบรค ล้อ และยาง ของพวกเขา ทุกอย่างอยู่ภายใต้กรอบกติกาที่กำหนด โดยเฉพาะในกติกาที่ระบุว่า “ห้ามใช้การระบายความร้อนด้วยของเหลว” รวมถึงในข้อกำหนดที่ 15 ทางผู้จัดห้ามใช้วัสดุพิสดารที่มีราคาหลุดโลก ไม่ว่าจะเป็น วัสดุผสมเมทริกซ์จากโลหะ (METAL MATRIX COMPOSITE) วัสดุที่มีองค์ประกอบจากเบอริลเลียม (BERYLLIUM ADDITIVE MATERIAL) หรือเหล่าวัสดุเสริมแรงจากเส้นใย 3 มิติ (3D FIBRE REINFORCEMENT OF POLYMER COMPOSITE MATERIALS) และในหัวข้อ 15.5.1B ยังบอกว่า “ห้ามใช้วัสดุที่จดจำรูปทรงเดิมได้ นอกจากวัสดุจำพวกเพียโซอีเลคทริค ที่ใช้ในวงจรเซนเซอร์ไฟฟ้า” (SHAPE MEMORY MATERIALS EXCEPT FOR PIEZOELECTRIC MATERIALS USED IN ELECTRICAL SENSOR) พร้อมระบุชัดเจนว่า ห้ามใช้วัสดุที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปทรงไปกลับมา ด้วยวิธีการที่นอกเหนือไปจากด้วยแรงกล อาทิ การใช้อุณหภูมิ กระแสไฟฟ้า ผ่านการตรวจสอบ และยืนยันจาก FIA แล้วว่าไม่มีอะไรผิดกติกา
อย่างไรก็ตาม สรุป คือ ยังมีคนออกมาชี้ประเด็นว่า ส่วนใหญ่แล้วกติกาของ FIA เป็นการพยายามห้ามไม่ให้ใช้เทคนิคพิสดาร เพื่อให้เบรคร้อนจนถึงอุณหภูมิใช้งานได้อย่างรวดเร็วมากกว่า และไม่เอ่ยถึงการใช้วัสดุพิเศษสำหรับการลดอุณหภูมิ ซึ่งก็ยังสามารถทำอะไรแบบเลี่ยงบาลีได้อยู่ไม่มากก็น้อย
แต่สุดท้าย มันอาจไม่มีอะไรมากไปกว่า การใช้อากาศที่เคลื่อนที่เข้ามาในขณะรถวิ่ง ผสานเข้ากับการรักษาสมดุลการถ่ายน้ำหนักให้ดี ไม่ไปสร้างแรงกด และความร้อนที่มากเกินไปให้ล้อหลังตั้งแต่แรก จากการเร่ง และการเบรค เพื่อให้ยางหลังมีอายุยาวนานขึ้นกว่าคู่แข่ง เรียกว่าสิ่งละอันพันละน้อย แต่เอามารวมกันมากๆ เข้าก็จะส่งผลกระทบที่ใหญ่ขึ้น เหมือนกับลูกบอลหิมะที่กลิ้งลงเขามานั่นเอง แต่คนที่เชื่อว่า เรื่องแค่นี้มันไม่น่าจะสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนั้นก็ยังฟังขึ้นอยู่
ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร สักวันความลับนี้จะต้องถูกเปิดเผยออกมาแน่นอน !