เจาะสนามแข่งต่างประเทศ
WORLD RALLY CHAMPIONSHIP 2004 สนาม 10-11
การแข่งขันรถยนต์ทางฝุ่นรายการ เวิร์ลด์ แรลลี แชมเพียนชิพ ประจำปี 2004 ผ่านไป 10 สนามครั้งนี้เป็นสนามที่ 11 จัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี การแข่งขันมีกำหนด 3 วัน แบ่งออกเป็น 24 สเตจระยะทางรวมทั้งสิ้น 411.06 กิโลเมตร มีรถเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 72 คัน แต่จบการแข่งขันเพียง 41 คัน
ทีม ซีตรอง โชว์ฟอร์มร้อนตั้งแต่วันแรก เมื่อรถทั้งสองคันของทีมออกสตาร์ทด้วยการขึ้นนำในสองอันดับแรก โดยเป็น การ์โลส เซนซ์ (CARLOS SAINZ) ที่ทำเวลาดีที่สุดในสเตจแรก ก่อนที่จะปล่อยให้ เซบัสเตียง โลบ์ (SEBASTIEN LOEB) เพื่อนร่วมทีมกลับมานำตั้งแต่สเตจที่สองเรื่อยมาจนกระทั่งจบวันแรกด้วยการทำเวลาดีที่สุดของวัน ด้วยเวลารวมทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 18 นาที 15.4 วินาที ตามมาด้วย เซนซ์ และฟรองซัวส์ ดือวาล (FRANCOIS DUVAL) จากทีม ฟอร์ด
ด้านทีม เปอโฌต์ หลังจากที่เพิ่งจะฉลองแชมพ์เมื่อสนามที่แล้วเสร็จไปหมาดๆ มาสนามนี้ต้องเปลี่ยนมาเป็นอารมณ์ผิดหวังอย่างกะทันหัน เมื่อนักขับมือหนึ่งของทีม มาร์คุส โกรนโฮล์ม (MARCUS GRONHOLM) พลาดท่าทำรถ เปอโฌต์ 307 หลุดโค้ง จนล้อไปกระแทกหินอย่างจัง ในช่วงกลางของสเตจแรก ทำให้ต้องออกจากการแข่งขันทันที
สเตจแรกของเลกที่สอง กิลเลส ปานิซซี (GILLES PANIZZI) นักขับสัญชาติฝรั่งเศสที่เพิ่งย้ายมาสังกัดทีม มิตซูบิชิ ต้องออกจากการแข่งขันเช่นกัน หลังจากทำรถหลุดโค้งที่ความเร็วสูง ส่งผลให้รถพังยับเยิน ส่วนตัวเขาเองก็ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลเพื่อเชคร่างกายทันที และจากอุบัติเหตุที่รุนแรงในครั้งนี้ ทำให้คณะกรรมการจัดการแข่งขันต้องประกาศยกเลิกสเตจนี้ในเวลาต่อมา
ถัดมาอีกสองสเตจ ทีม ซีตรอง ก็ต้องเจอกับปัญหาครั้งแรก เมื่อเครื่องยนต์ของรถ เซนซ์ มีปัญหาแต่โชคดีที่ทีมเซอร์วิศยังแก้ปัญหาให้ทันและสามารถกลับไปแข่งต่อได้โดยยังคงรักษาตำแหน่งที่สองเอาไว้ได้ แต่ที่ดูเหมือนโชคร้ายกว่าคือ เพทเทร์ โซลเบร์ก (PETTER SOLBERG) แชมพ์โลกคนล่าสุดสังกัดทีม ซูบารุ ที่สนามนี้หากไม่จบการแข่งขันอีก โอกาสที่จะป้องกันแชมพ์ก็คงจะเหลือริบหรี่ และก็เกิดความผิดพลาดอีกจนได้ เมื่อทีมงานเลือกยางผิดประเภท ส่งผลให้รถลื่นไถลไปกระแทกก้อนหินอย่างแรง จนผู้นำทาง ฟิลิป มิลล์ส (PHILIP MILLS) ได้รับบาดเจ็บที่ช่วงลำตัว ต้องออกจากการแข่งขัน หมดสิทธิ์ลุ้นแชมพ์แน่นอน
ในสเตจที่ 17 อันดับต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อ เซนซ์ ไปพลาดท่าทำรถหมุนเสียเวลาไปมากส่งผลให้ ดือวาล แซงหน้าขึ้นมาเป็นอันดับสองได้สำเร็จ
เลกสุดท้าย โลบ์ เริ่มขับแบบประคองตัว เน้นความแน่นอนมากกว่า เนื่องจากเวลายังทิ้งห่างอันดับสองค่อนข้างมาก จนกระทั่งจบสเตจที่ 24 ซึ่งเป็นสเตจปิดท้าย โลบ์ ยังคงโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมคว้าชัยชนะเป็นครั้งที่ห้าให้แก่ทีม ซีตรอง ได้สำเร็จ ด้วยเวลารวมทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง 1 นาที 57.4 วินาที ตามมาด้วย ดือวาล และเซนซ์ รั้งอันดับสาม
WORLD RALLY CHAMPIONSHIP 2004 สนาม 11
ศึกแรลลีชิงแชมพ์โลกเดินทางมาถึงสนามที่ 11 คราวนี้ยกพลไปแข่งกันที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีเส้นทางการแข่งขันพาดผ่านไปตามเชิงเขาของเมืองฮอกไกโด สภาพเส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางฝุ่นค่อนข้างเรียบและกว้าง ไม่มีก้อนหินขนาดใหญ่ ทำให้นักแข่งใช้ความเร็วได้ค่อนข้างสูง โดยไม่มีอุบัติเหตุรุนแรง และจบการแข่งขันเกือบทุกคัน
สเตจแรก โซลเบร์ก ทีม ซูบารุ ที่ค่อนข้างจะมีความชำนาญในสนามรูปแบบนี้เป็นพิเศษอยู่แล้วโชว์ฟอร์มร้อนตั้งแต่ออกสตาร์ทด้วยการทำเวลาทิ้งห่างคู่ปรับคนสำคัญอย่าง โลบ์ แห่งทีม ซีตรอง ไปไกล แม้ โลบ์ จะสามารถทำเวลาตีตื้นขึ้นมาได้ด้วยการทำเวลาเร็วที่สุดของสเตจที่ 3, 5 และ 6 แต่ก็เพียงพอแค่ทำให้เวลารวมของเขาขยับขึ้นมาอยู่อันดับสองเท่านั้น นำหน้า โกรนโฮล์ม ทีม เปอโฌต์
จบวันแรก โซลเบร์ก ทำเวลารวมเป็นอันดับหนึ่งด้วยเวลารวมทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 30 นาที 35.1 วินาที ตามมาด้วย โลบ์ ทำเวลาตามหลัง 12.7 วินาที ด้าน โกรนโฮล์ม ที่ระบบเบรคของรถ 307 มีปัญหาตั้งแต่ช่วงต้นของสเตจที่ 7 ทำให้เวลาร่วงลงไปอยู่อันดับสาม ตามหลังผู้นำอยู่ถึง 17.8 วินาที
เลกที่สองความหวังของทีม ซูบารุ เริ่มขึ้นสู่จุดสูงสุด เมื่อ โซลเบร์ก สามารถทำเวลาดีที่สุดได้ถึง 5 สเตจติดต่อกัน ด้าน โกรนโฮล์ม ที่เจอแรงกดดันอย่างหนักจาก มาร์คโค มาร์ทิน (MARKKO MARTIN) ทีม ฟอร์ด และเซนซ์ ทีม ซีตรอง ที่ทำเวลาดีขึ้นเรื่อยๆ จนต้องเร่งความเร็วรอบเครื่องยนต์สูงเกินไป จนทำให้ระบบเกียร์มีปัญหา สามารถเข้าได้เพียงเกียร์ 3 อย่างเดียว และในสเตจที่ 14 เขายังถูกปรับเวลาอีก 10 วินาที เนื่องจากจัมพ์สตาร์ท ส่งผลให้เวลารวมร่วงลงไปอยู่อันดับ 5 ทันที
จบการแข่งขันในวันที่สอง โซลเบร์ก ทำเวลาทิ้งห่างอันดับสอง โลบ์ ออกไปอีกจาก 12.7 วินาที เป็น 1 นาที 9.2 วินาที ส่วนอันดับสามกลายเป็น มาร์ทิน ที่เน้นการขับแบบอาศัยความแน่นอน ทำเวลาตีตื้นขึ้นมา ตามหลังอันดับสองอยู่เพียง 31.1 วินาที
วันสุดท้ายของการแข่งขัน เหลืออีกเพียง 7 สเตจ ให้ขับเคี่ยวกัน โซลเบร์ก เริ่มลดความเร็วลงบ้างเนื่องจากทำเวลาทิ้งห่างคนอื่นไปไกล กลายเป็นการขับเคี่ยวเพื่อแย่งชิงอันดับสองและสามกันอย่างดุเดือดระหว่าง 3 ทีมดัง คือ ฟอร์ด เปอโฌต์ และซีตรอง อย่างไรก็ตามมีเพียง โกรนโฮล์มเท่านั้นที่สามารถขยับจากอันดับ 5 ขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ได้สำเร็จ
จบการแข่งขันในวันสุดท้าย โซลเบร์ก โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม คว้าแชมพ์ประจำรายการได้แบบม้วนเดียวจบ ด้วยเวลารวมทั้งสิ้น 3 ชั่วโมง 43 นาที 50.6 วินาที อันดับสองเป็นของว่าที่แชมพ์โลกประจำปีนี้ โลบ์ ทำเวลาตามหลังผู้นำ 1 นาที 13.3 วินาที คว้าคะแนนสะสมเพิ่มไปอีก 8 แต้ม อันดับสามเป็นของ มาร์ทิน ทำเวลาตามหลังอันดับสอง 30 วินาที
อย่างไรก็ตาม แม้ผลการแข่งขันในครั้งนี้ส่งผลให้คะแนนสะสมรวมประเภทผู้ขับของ โซลเบร์ก ขยับขึ้นไปมี 54 แต้ม แต่ยังคงตามหลังผู้นำอยู่อีกถึง 30 แต้ม โดย โลบ์ มีคะแนนสะสมรวมทั้งสิ้น 84 คะแนน ด้านอันดับสามยังคงเป็น มาร์ทิน มีคะแนนสะสมทั้งสิ้น 53 แต้ม
ส่วนคะแนนสะสมประเภททีมผู้ผลิต ซีตรอง ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้ตามคาด โดยมีคะแนนรวมทั้งสิ้น 137 คะแนน ทิ้งห่างอันดับสอง ทีม ฟอร์ด ที่มีเพียง 102 คะแนน ส่วนอันดับสามเป็นของทีม ซูบารุ ที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จที่สนามนี้พอสมควร สามารถเก็บคะแนนได้ถึง 12 แต้ม มีคะแนนรวมทั้งสิ้น 79 แต้ม
[table]
สรุปผลคะแนนการแข่งขันรวม 11 สนาม ประเภทผู้ขับ
อันดับ, ผู้ขับ, คะแนนรวม
ชนะเลิศ, เซบัสเตียง โลบ์ ,84
รองอันดับ 1, เพทเทร์ โซลเบร์ก ,54
รองอันดับ 2, มาร์คโค มาร์ทิน ,53
สรุปผลคะแนนการแข่งขันรวม 11 สนาม ประเภททีมผู้ผลิต,,
อันดับ ,ทีม ,คะแนนรวม
ชนะเลิศ, ซีตรอง ,137
รองอันดับ 1, ฟอร์ด ,102
รองอันดับ 2, ซูบารุ ,79
[/table]
เรื่องโดย : สิทธิพงศ์ วิยาภรณ์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : เจาะสนามแข่งต่างประเทศ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56752