วิถีตลาดรถยนต์
น้ำมันแพงไม่เกี่ยว
ราคาน้ำมันเบนซินไม่ว่าจะเป็นเบนซิน 91 หรือเบนซิน 95 ถีบตัวแพงขึ้นทุกวี่ทุกวัน
แพงจนรัฐบาลบอกว่าไม่สามารถจะทนแบกภาระหาเงินมาตรึงราคาให้อยู่ในระดับที่สามารถจะทนยอมรับกันได้อีกต่อไปแล้ว ที่ผ่านมาใช้เงินแผ่นดินหมดไปเพื่อการนี้แล้วเฉียดหมื่นล้านบาทเข้าไปแล้ว
ต่อไปนี้ จะปล่อยให้ราคาน้ำมันเบนซินลอยตัว ซึ่งก็คือยอมให้มีการกำหนดราคาตามความเป็นจริงตามเงื่อนไขของกลไกตลาด ราคาควรจะอยู่ที่ตรงไหนก็ให้เป็นไปตามนั้น ซึ่งก็หมายความว่าราคาน้ำมันเบนซินนับจากนี้ไปน่าจะอยู่ที่ระดับลิตรละ 20 บาทเป็นอย่างน้อย
ส่วนน้ำมันดีเซล ยังไงๆ ก็ต้องกัดฟันตรึงราคาเอาไว้กันต่อไป เพราะขืนปล่อยให้ราคาน้ำมันดีเซลลอยตัว มันจะพายุ่งกันไปใหญ่ ผลกระทบจะเกิดขึ้นในวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้คนที่ใช้น้ำมันดีเซลเลยสบายอกสบายใจกันได้ต่อไปอีก แต่จะสบายใจกันได้อีกนานแค่ไหนก็ต้องรอดูกันต่อไป
ในแวดวงของตลาดรถยนต์เกิดความหวั่นเกรงกันว่า ปัญหาน้ำมันเบนซินแพงจะเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของตลาดรถยนต์ที่กำลังดีวันดีคืนอย่างต่อเนื่องในวันนี้ เกรงกันว่าจะทำให้ยอดการจำหน่ายรถยนต์ในแต่ละเดือนลดลงจากเดิม ลดลงถึงระดับไหนนั้นขึ้นอยู่กับกระแสความหวั่นกลัวของผู้ที่ใช้รถยนต์
ถึงกับมีการรื้อฟื้นขุดเอาโครงการเร่งหาพลังงานอย่างอื่นมาทดแทนการใช้น้ำมันเป็นการใหญ่ไม่ว่าจะเป็นโครงการแกสโซฮอล เอธานอล แกสธรรมชาติ และรวมทั้งคิดอ่านหาอุปกรณ์พิเศษเพื่อการใช้น้ำมันอย่างประหยัดอีกด้วย
แต่ว่า ไม่ว่าจะสรรหาพลังงานทดแทนมาใช้ หรือการรณรงค์เพื่อการประหยัด จะให้ผลในเชิงการตอบสนองมากน้อยแค่ไหน บางทีอาจเป็นไปได้ว่า ทั้งหลายทั้งปวงที่คิดอ่านสรรหากันมาเพื่อรับมือกับราคาน้ำมันที่แพงขึ้นนั้น อาจจะเข้าตำราตื่นตูมเกินกว่าเหตุก็เป็นได้
เท่าที่ปรากฏ ยังไม่เห็นทีท่าว่า คนใช้รถยนต์จะแสดงท่าทีให้เห็นว่า วิตกกังวลในเรื่องนี้แต่อย่างใด
ยังคงตั้งหน้าตั้งตาซื้อหารถยนต์มาใช้กันอย่างเพลิดเพลินเสมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวด้วยซ้ำไป
ยอดจำหน่ายรถยนต์ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเดือนที่เข้าสู่สภาวะวิกฤติทางด้านราคาน้ำมันยังยืนหยัดอย่างหนักแน่นอยู่ที่ยอดจำหน่ายทั้งหมดเฉียด 50,000 คันตามปกติ
ขายได้ถึง 49,276 คัน ขายมากกว่าระยะเดียวกันนี้ของเมื่อปีที่แล้วถึง 6,499 คัน หรือขายได้เพิ่มมากขึ้นอีก ร้อยละ 15.2
ตลาดรถเก๋งซึ่งเป็นตลาดที่เกี่ยวพันและเกี่ยวข้องกับการใช้น้ำมันเบนซินราคาแพงมากที่สุด และสามารถที่จะบ่งชี้ได้ค่อนข้างชัดเจนว่า คนใช้รถหวั่นเกรงกับปัญหาน้ำมันแพงมากน้อยแค่ไหน ก็ปรากฏว่าไม่แสดงอาการแกว่งให้เห็นแม้แต่น้อย น้ำมันแพงขึ้นแค่ไหนก็ยังยืนหยัดรับมือได้อยู่เหมือนเคย
ตลาดรถเก๋ง ยอดจำหน่ายในเดือนพฤษภาคม ยืนอยู่ที่ 14,292 คัน ขายมากกว่าปีก่อนอีก 1,077 คันหรือขายมากขึ้น ร้อยละ 8.1
ทั้งรถเก๋ง โตโยตา และเก๋ง ฮอนดา ยังคงครองความเป็น "ขนมหวาน" ของนักชอพพิงรถในระดับล่างและในระดับกลางอย่างคงเส้นคงวา
เช่นเดียวกัน เก๋งหรูๆ ซดน้ำมันฮวบๆ ของคนในระดับบนก็ยังขายกันได้ขายกันดี ทั้งเมร์เซเดส-เบนซ์ทั้งบีเอมดับเบิลยู
ตอนนี้เก๋งของ เชฟโรเลต์ โชว์ฟอร์มเข้าตามากขึ้นทุกที เดือนนี้ขยับขึ้นมารั้งตำแหน่งอันดับ 3ของกลุ่มตลาดรถเก๋งแล้ว แซงหน้าเก๋งญี่ปุ่นอีกตั้งหลายยี่ห้อ
ตลาดรถพิคอัพ 4x2 ตลาดที่น้ำมันดีเซลเอื้ออาทรมากที่สุด ซึ่งก็มีการตอบสนองเป็นอย่างดี ยอดจำหน่ายของรถพิคอัพประเภทนี้ในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ 27,053 คัน ขายมากกว่าปีที่แล้วอีก 5,426 คัน เท่ากับว่าขายมากขึ้นอีก ร้อยละ 25.1
พิคอัพ อีซูซุ ยังยืนหยัดความเป็นเจ้าตลาดได้อย่างไม่หวั่นไหวต่อแรงเสียดทานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นแรงเบียดของพิคอัพ โตโยตา หรือแม้กระทั่งการสร้างกระแสความนิยมในรถพิคอัพสายพันธุ์ใหม่ อย่างพิคอัพ เชฟโรเลต์ โคโลราโด จากสหรัฐอเมริกา หรือพิคอัพจัมโบจากเกาหลียี่ห้อ เกีย ทั้ง 2 สายพันธุ์ใหม่ทำได้อย่างเก่งก็แค่ติดอยู่ในอันดับท้ายๆ ของตลาดกลุ่มรถพิคอัพเท่านั้น
ตลาดรถพิคอัพ 4x4 ก็อย่างที่ว่า นับวันจะโรยราลงไปทุกที เดือนนี้มียอดขายแค่ 2,507 คัน ขายน้อยกว่าปีก่อนถึง 856 คัน หรือความนิยมลดลง ร้อยละ 25.5
พิคอัพ 4x4 ของ โตโยตา ยังเก่งเหนือพิคอัพ อีซูซุ อยู่เหมือนเดิม
ตลาดรถเอสยูวี เข้าตำราเดียวกับพิคอัพ 4x4 นับวันก็จะหากินยากขึ้นทุกที ถึงแม้จะมีผู้เสนอหน้าเข้ามาให้เลือกมากยี่ห้อขึ้นก็ตาม เดือนนี้มียอดขายแค่ 1,309 คัน ขายน้อยกว่าที่เคยขายได้ถึง 754 คัน ถอยหลังลงคลองไปถึง ร้อยละ 36.5
เอสยูวีของ ฮอนดา กลับมาทวงตำแหน่งนำทางการตลาดคืนจาก ฟอร์ด ได้อีกครั้ง แต่ก็คงไม่ค่อยจะมั่นคงเท่าไหร่นัก
ตลาดรถเอมพีวี เป็นตลาดที่น่าจับตามากที่สุด ดูเหมือนว่าจะอ้วนท้วนเกินไปด้วยซ้ำ เดือนนี้มียอดขาย 1,613 คัน ขายมากกว่าเดิมถึง 1,313 คัน ด้วยอัตราการเติบโตของตลาดที่สูงถึง ร้อยละ 437.7
โตโยตา เดินหน้าสู่ความเป็นเจ้าตลาดรถในกลุ่มนี้ได้อย่างเด็ดขาด
ผ่านไปแล้ว 5 เดือนของปี 2547 ยอดจำหน่ายรถยนต์ตอนนี้สะสมได้แล้วถึง 248,176 คัน ขายได้มากกว่าปีก่อน 45,010 คัน เติบโตขึ้นอีก ร้อยละ 22.2
ขายกันได้ขายกันดีอย่างนี้ ไม่ต้องห่วงว่าจะสามารถทำยอดขายได้ถึง 600,000 คันในปีนี้หรือไม่เห็นๆกันอยู่แล้ว สบายมาก
เรื่องโดย : หลวงเลียบเมือง
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : วิถีตลาดรถยนต์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56607