ฟ้ากว้าง ทางไกล (4wheels)
แดนหิมาลายันใต้ (3)
อีกเพียงไม่กี่เดือน จะครบ 30 ปีแห่งการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ภูฐาน องค์ปัจจุบัน เดือนมิถุนายน พศ. 2517 นับเป็นวันสำคัญที่สุดของชาวภูฐาน พวกเขาเริ่มมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นชีวิตที่มีการติดต่อกับสังคมโลกมากขึ้น เนื่องด้วยกษัตริย์องค์ที่สี่ของภูฐาน จิกเม ซิงเย โดร์จิ วังชุค (JIGME SINGYE DORJI WANGCHUK) ทรงดำเนินนโยบายพัฒนาประเทศให้เข้าสู่ความทันสมัยตามพระราชบิดาในรูปแบบของภูฐานเอง คือขณะที่นำความเจริญด้านเทคโนโลยี เช่น ไฟฟ้า ถนน เข้าสู่ประเทศ แต่ก็มีความเคร่งครัดในธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม โดยเฉพาะในเรื่องของศาสนา หรือการแต่งกายที่คงไว้อย่างเหนียวแน่น
ทิมบู...เมืองหลวงปัจจุบัน และเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของภูฐาน เป็นตัวแทนการรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในประเทศ เช่น เริ่มให้ประชาชนทั่วไปต่ออินเตอร์เนท เมื่อปีที่ผ่านมา และเป็นเมืองที่รวมเอกลักษณ์ประจำชาติหลายอย่างไว้ด้วยกัน เราจึงพลาดไม่ได้ที่จะมีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น โรงแรมของเราตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสนามกีฬาแห่งชาติ สามารถเห็นภาพมุมกว้างแบบพาโนรามาของทิมบู เราได้ยินมาว่าทุกเย็นจะมีนักกีฬาทั้งสมัครเล่นและมืออาชีพ มาซ้อมยิงธนูกัน เป็นงานอดิเรกของพวกเขาอย่างหนึ่ง มีร้านขายน้ำชาของสมาคมยิงธนู ไว้เป็นที่สังสรรค์หลังซ้อม พอบ่ายคล้อยหลังเลิกงาน เราแอบมองจากหน้าต่างของโรงแรม เราเห็นชายภูฐาน ในชุดประจำชาติอันสวยงามแบกอุปกรณ์ยิงธนูเข้าสู่สนาม นั่นดึงดูดเราให้เดินตามพวกเขาไป ในสนามมีการซ้อมยิงธนูกันสองกลุ่ม สี่ทีมอุปกรณ์ที่เราเห็นเป็นอุปกรณ์สมัยใหม่ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องกีฬาชั้นนำ ในประเทศที่เจริญแล้วเท่านั้น ซึ่งราคาก็ตกหลายหมื่นบาทต่อชุด เราเดินผ่านสนามยิงธนูด้วยความกลัวว่าจะถูกลูกธนูปักเอา แต่พวกเขายิงแม่นมาก ด้วยระยะทางกว่าร้อยเมตรที่ไกลกว่ามาตรฐานโอลิมปิค ซึ่งตั้งไว้เพียง 50 เมตร ลูกธนูแล่นจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง ถ้าไม่เข้าเป้าก็พลาดไปปักลงดินด้านข้าง ซึ่งก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามร้องเพลงล้อเลียน กีฬายิงธนูเป็นที่นิยมมากในภูฐาน จนกลายเป็นกีฬาประจำชาติ และรัฐตั้งเป้าเพื่อเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิค
ใกล้ค่ำเราออกจากสนามกีฬาไปหาอาหารรับประทาน ซึ่งอาหารที่ขึ้นชื่อมักเป็นอาหารอินเดีย ส่วนอาหารภูฐานเองซึ่งเปรียบเสมือนน้ำพริกปลาทูบ้านเรา คือพริกใหญ่ผัดเนยซึ่งเขากินกันแทบทุกมื้อ พวกเขายืนยันว่าเขากินเผ็ดกว่าคนไทย อาหารแทบทุกชนิดจะมีส่วนประกอบของพริกสดและเนย ไกด์บอกกับเราว่าทุกวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีตลาดนัดใหญ่ที่เป็นที่ชุมนุมของคนภูฐาน ทุกภาคของประเทศนำสินค้ามาขาย เช้าวันนั้นเป็นวันเสาร์ ผู้คนในทิมบู ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดมุ่งหน้าตรงไปยังตลาดเพื่อหาซื้อของสด มีทั้งชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในทิมบู และนักท่องเที่ยวพากันมาชมตลาด มีตั้งแต่ผักสดผลไม้จากภาคใต้ เนื้อสัตว์สดๆ ที่มาชำแหละกันกลางตลาด เช่น จามรี ทำให้นึกถึงตอนที่เรานั่งรถผ่านภูเขาสูงๆ ที่มีหิมะปกคลุม เราเห็นพวกมันนั่งกันเป็นกลุ่มใหญ่ จามรี เหล่านั้นเป็นสัตว์เลี้ยง นอกจากของสดยังมีของเก่าและของใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งอุปกรณ์ทองเหลืองประกอบพิธีในวัด ขนนกยูง ของหวานจากอินเดีย
หลังจากชมตลาดนัด เราแวะไปสวนสัตว์ภูฐาน ที่น่าประหลาดใจต่างกับสวนสัตว์แห่งอื่นๆ ของโลกคือ มีสัตว์อยู่เพียง 14 ตัว และมีอยู่เพียงชนิดเดียว มีชื่อว่า ต้ากิน ตัวต้ากินนี้เป็นสัตว์ประจำชาติของภูฐานเลี้ยงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติจริง มีทั้งลำธารที่ตัดผ่านเนินเขา หน้าตาของมันคล้ายกับพวกแพะ แกะ มันเป็นสัตว์กินพืชเป็นอาหาร
ช่วงวันธรรมดาในทิมบู เราไปเยี่ยมชมสถานที่ราชการหลายแห่ง และต้องรับประทานอาหารหลังบ่ายโมงทุกวันเพราะพวกเขาพักรับประทานอาหารเที่ยงกันตอนบ่ายโมงถึงบ่ายสอง ระยะเวลาการทำงานในแต่ละวันจะไม่เหมือนกันในฤดูหนาวและฤดูร้อน ช่วงหนาวผู้คนเริ่มทำงานกันตั้งแต่เก้าโมงถึงสี่โมงเย็น ส่วนหน้าร้อนถึงห้าโมงเย็น
ก่อนเดินทางกลับเมืองไทย มันจะเป็นการเยือนที่ไม่สมบูรณ์เลย หากเราไม่ได้ชมสองสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในภูฐาน นั่นคือ ยอดเขาโจโมฮาริ และวัดตักซัง ที่อยู่ในจังหวัดปาโร โจโมฮาริ เป็นยอดเขาศักดิ์สิทธิ์สูง 7,314 เมตร ที่สูงเป็นอันดับสองของประเทศ การเดินทางไปชมภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ให้ความรู้สึกถึงความเยือกเย็น การเข้าถึงทางสายกลางของพระพุทธองค์ท่ามกลางธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เราต้องปีนเนินเขาขึ้นไปยังป้อมปราการรกร้างที่ให้บรรยากาศถึงการสู้รบปกป้องดินแดนของพวกเขา เช้านั้นพอพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องกระทบกับหิมะขาวบริสุทธิ์ ทำให้สีของท้องฟ้ากลายเป็นสีชมพูอุ่นๆ เหมือนได้มองเห็นสรวงสวรรค์อยู่เบื้องหน้า ไม่รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของอากาศ มีแต่ความสุขในจิตใจที่เกิดขึ้น
ยอดโจโมฮาริ มีหิมะปกคลุมตลอดปี เคยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหนึ่งมาไต่เขาโจโมฮาริ แล้วถูกชาวบ้านต่อต้าน เนื่องจากเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่นั้นมาจึงห้ามมีการจัดโพรแกรมไต่เขาศักดิ์สิทธ์นี้อีก ตอนบ่ายเราต้องปีนเขาเพื่อชมวัดตักซัง ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชัน ความพิเศษของวัดน่าจะมีอยู่สองสิ่งคือ วัดนี้เป็นสถานที่นั่งสมาธิของกูรูลิมโปเช เมื่อท่านเดินทางมาเยือนภูฐาน ส่วนอีกอย่างคงเป็นความมหัศจรรย์ที่สถาปนิกในสมัยนั้นสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โตเช่นนี้อยู่ริมหน้าผาอันหมิ่นเหม่นี้ได้
ขณะที่เราไปเยือนเป็นช่วงที่กำลังบูรณะอยู่ ต้องมีการใช้กระเช้าลอยฟ้าเพื่อนำหิน และวัสดุก่อสร้างอันหนักอึ้งขึ้นไปบนยอดเขา ยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าคนสมัยก่อนเอาหินนับเป็นตันๆ ขึ้นไปได้อย่างไร ชื่อตักซัง นั้นมีความหมายถึงที่อยู่ของเสือ ตัววัดนั้นตั้งอยู่สูงจากพื้นประมาณ 900 เมตร และสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,200 เมตร การเดินขึ้นต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เราแวะพักที่ร้านอาหารเพื่อกินน้ำและข้าวกลางวัน การเดินในที่สูงและอากาศเบาบางเช่นนี้ทำให้เราตระหนักว่าความเหนื่อยเป็นอย่างไร และไม่สามารถเร่งฝีเท้าได้มากนัก รวมทั้งเหงื่อที่ไม่เป็นที่พึงประสงค์ในช่วงหน้าหนาว ทำให้ตัวเราเปียกชุ่มไปทั้งตัวโดยที่เหงื่อไม่สามารถระเหยออกได้ แถมเผชิญกับอากาศที่หนาวเย็นทำให้เหมือนกับลงอาบน้ำในลำธารที่เย็นเฉียบอย่างไรอย่างนั้น วัดนั้นที่อยู่สูงขึ้นไปในขณะนั้นไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าชมเพราะอยู่ในช่วงบูรณะ ตัววัดนั้นแบ่งเป็นกลุ่มๆ เนื่องจากความจำกัดของพื้นที่ มีกุฏิอยู่ข้างล่างสุดที่สร้างอยู่ติดกับน้ำตกเพื่อการนั่งสมาธิ ส่วนตัวอาคารหลักนั้นอยู่สูงขึ้นไปอีกเป็นที่ทำพิธีต่างๆ ขณะนี้มีคนงานก่อสร้างทั้งชายและหญิงคอยแบกหินก้อนโตๆ เพื่อเสริมฐานให้มั่นคง ผมคิดว่าเดินขึ้นก็เหนื่อยแล้ว แต่หญิงภูฐานกลับแบกหินที่หนักหลายสิบโลได้ ยังมีอีกอาคารที่ซ่อนอยู่ด้านหลังที่ตอนแรกผมคิดว่าเดินจากอาคารหลักไปได้ แต่ที่จริงแล้วต้องเดินอ้อมหลังเขาไปเป็นเวลาอีกเกือบชั่วโมง และสุดท้ายมีกลุ่มอาคารที่อยู่บนยอดเขาที่ชาวต่างชาติไม่มีโอกาสได้ขึ้นไป
เราอยู่ชื่นชมบรรยากาศของตักซัง จินตนาการไปถึงสมัยนั้นที่กูรูลิมโปเชมาเยือน และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวัดแห่งนี้ พร้อมถึงบรรยากาศแสง และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่โจโมฮาริ แหวกม่านความมืดปรากฏแก่สายตา เราหวังว่าภูฐานจะยืนหยัดคงสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์อันเชี่ยวกราก
เรื่องโดย : อุษณีย์ กฤษณาวารินทร์
ภาพโดย : สุเทพ กฤษณาวารินทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : ฟ้ากว้าง ทางไกล (4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56530