รู้ไว้ใช่ว่า
ซื้อรถทะเบียนปลอม
การปลอมแปลงเอกสารเกี่ยวกับรถยังมีอยู่เสมอ อย่าเผลอก็แล้วกัน เพราะเอกสารทางทะเบียนยังเป็นสิ่งสำคัญในการครอบครองเป็นเจ้าของรถ
แม้ศาลจะตัดสินมาตลอดว่า กรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของรถขึ้นอยู่กับสภาพความเป็นจริง มีการให้หรือขายและส่งมอบเสร็จก็ได้เป็นเจ้าของตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว
สำหรับทะเบียนรถ ศาลมองว่าเป็นการควบคุมดูแลของรัฐ ให้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับรถโดยเน้นเรื่องภาษีทั้งภาษีที่ได้จากการซื้อขายและภาษีประจำปีที่รัฐหาทางเก็บจนได้มาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ด้วยเหตุนี้เราๆ ท่านๆ จึงเข้าใจว่า "ทะเบียนรถ" และ "การโอนทางทะเบียน" คือการแสดงความเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่หรือทางการยังเน้นเรื่องทะเบียนรถเป็นสำคัญ จะครอบครองจะซื้อจะขายหรือนำรถมาใช้บนถนนได้ ต้องมีทะเบียนรถเป็นหลัก ไม่มีทะเบียน แม้รถจะเลิศเลอขนาดไหน ก็นำมาใช้ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เองการปลอมทะเบียนรถจึงเกิดขึ้นเสมอ เพื่อให้รถที่ไม่มีทะเบียนอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นรถที่ขโมยมา รถนำเข้าแบบเถื่อน รถที่ตัดต่อดัดแปลงหรือผสมสิบ ทั้งที่เป็นซากรถหรือชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ มีทะเบียน
รถที่ปลอมทางทะเบียนนั้นถ้าไอ้คนที่ปลอมใช้และครอบครองแล้วโดนจับได้ไล่ทันยังพอทำเนาเพราะเดือดร้อนเอง คนอื่นไม่เกี่ยว
ที่แย่ยิ่งกว่าแช่แป้งคือการโอนไปให้คนที่เขาไม่รู้เรื่อง หรือเขาซื้อมา แล้วเกิดความยุ่งยากตายชักไม่เชื่อดูคดีนี้เป็นตัวอย่างก็แล้วกัน
แรกเริ่มเดิมที "นายชัวร์มาก" นำเอกสารปลอมหลายรายการพร้อมรถยนต์คันหนึ่งไปขอจดทะเบียนที่จังหวัดแห่งหนึ่ง นายทะเบียนและเจ้าหน้าที่ยานพาหนะไม่ถี่ถ้วนรอบคอบหรือยังไงไม่ทราบรับจดทะเบียนให้เฉยเลย
หลังจากนั้นนายชัวร์มากซึ่งน่าจะเป็นนายชั่วมาก โอนขายรถให้ "นายคนหนึ่ง" รับโอนแล้วได้แจ้งย้ายรถไปจังหวัดอื่นอีกสองจังหวัดทางภาคใต้โน่น ผู้ที่รับเคราะห์คนสุดท้ายคือ "นายมีความสุข" ซึ่งคิดว่าซื้อรถมาได้ในราคาไม่แพงนัก รถใช้ได้ดีพอสมควร
ที่ไหนได้ภายหลังมีการตรวจสอบแล้วพบว่ามีการปลอมแปลงรถหลายคัน ในจำนวนนั้นมีรถที่นายชัวร์มากทำชั่วด้วย เจ้าหน้าที่จึงติดตามหาจนรู้ว่ารถโอนไปเป็นของนายมีความสุข มีการตามยึดรถเป็นของกลางจากนายมีความสุข เล่นเอาหมดความสุข ทุกข์ถนัดไปเลย
พอตั้งหลักได้นายมีความสุขปรึกษาทนาย แล้วได้ขึ้นศาลทันใด ยื่นฟ้องกรมตำรวจซึ่งรับผิดชอบเรื่องการจดทะเบียนรถในตอนนั้น เป็นจำเลยที่ 1 นายทะเบียนรถจังหวัดที่รับจดทะเบียนปลอมเป็นจำเลยที่ 2เจ้าหน้าที่ยานพาหนะเป็นจำเลยที่ 3 อ้างว่ารับจดทะเบียนรถอย่างส่งเดชทั้งๆ ที่เอกสารปลอมทั้งนั้น
ทำให้นายมีความสุขหลงเชื่อว่าเป็นรถที่มีทะเบียนถูกต้อง จึงรับซื้อมาโดยสุจริตหมดเงินไป 1.5 แสนบาทแล้วรถโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไป ขอให้จำเลยรับผิดชอบชดใช้เงินแสนห้าพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะจ่ายเสร็จ
จำเลยสู้คดีให้การปฏิเสธ อ้างว่านายชัวร์มากนำเอกสารมาขอจดทะเบียนครบถ้วนตามระเบียบและแนวทางปฏิบัติของทางการ คณะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสภาพรถตรงกับเอกสาร จึงให้จดทะเบียนให้หมายเลขทะเบียนไปไม่ได้ประมาทเลินเล่อ ต่อมาเมื่อทราบว่ามีการปลอมแปลงเอกสาร จึงแจ้งความและตามยึดรถมา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้จำเลยร่วมกันจ่ายค่าเสียหายให้แก่นายมีความสุขตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยพากันยื่นอุทธรณ์ อ้างโน่นอ้างนี่ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว มองว่ารถเป็นกรรมสิทธิ์ของนายมีความสุขแล้วโดยสภาพ ตั้งแต่วันซื้อมานี่นาเมื่อนายมีความสุขยอมให้เจ้าหน้าที่ยึดไปโดยสมัครใจจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ที่จะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
นายมีความสุขทุกข์ขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง ต้องแก้ไขด้วยการยื่นฎีกา ยืนยันว่าฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ เพราะอ้างเหตุเรื่องความสะเพร่าในการรับจดทะเบียนรถ จึงเป็นผลสืบเนื่องให้นายมีความสุขเชื่อว่ารถที่ซื้อมามีทะเบียนถูกต้อง เมื่อปรากฏภายหลังว่าเป็นรถเถื่อนทะเบียนไม่ถูกต้อง โดนยึด ไม่สามารถใช้รถได้ต่อไปจำเลยต้องรับผิดชอบ
ศาลฎีกาเพ่งพินิจพิจารณาคดีนี้แล้วชี้ขาดออกมาว่า
ทะเบียนรถไม่ได้เป็นหลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์ในตัวรถก็จริง แต่คดีนี้นายมีความสุขไม่ได้ตั้งข้อเรียกร้องเรื่องกรรมสิทธิ์ในตัวรถโดยอ้างทะเบียนรถ แต่เรียกร้องเอาราคารถที่ได้จ่ายไปและเป็นความเสียหายเนื่องจากความหลงเชื่อในความถูกต้องแท้จริงของทะเบียนรถยนต์ อันเป็นเอกสารราชการที่สำคัญ ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการใช้รถการซื้อขายรถ การตัดสินใจซื้อรถย่อมอาศัยทะเบียนรถเป็นหลักฐานแห่งสิทธิของผู้ขาย
นายมีความสุขเสียเงินไปเพราะหลงเชื่อในสิทธิ์ของผู้มีชื่อในทะเบียนรถที่จำเลยพากันรับจดไว้ทั้งๆ ที่ปลอมมาทั้งดุ้น
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย
ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ ให้นายมีความสุขชนะคดีในที่สุด
จุดที่สำคัญสำหรับการฟ้องร้องคือ การเรียบเรียงคำฟ้องให้ตรงเป้า โดยอ้างว่าจ่ายเงินซื้อรถมาเนื่องจากหลงเชื่อในสิทธิ์ของผู้ขายที่มีชื่อในทะเบียนรถซึ่งเจ้าหน้าที่รับจดทั้งๆ ที่เป็นเอกสารปลอม
ถ้าฟ้องเรียกร้องกรรมสิทธิ์รถแล้วให้ใช้ราคารถโดยอ้างว่ารถถูกยึดไป อาจโดนยกฟ้อง
ดังที่ศาลอุทธรณ์ท่านตัดสิน
เรื่องของเรื่องจึงต้องพึ่งพาทนายที่เป็นมวยด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าฟ้องยังไงก็ชนะได้นะโยมเอ๋ย
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2208/2536
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56453