รุ่นนี้พอมีเหลือ
คนกับหนังสือ
และแล้ววันหนึ่ง ผมก็มาฉุกคิดว่า ทำไมโลกใบนี้จึงมีเพียงผู้ชายกับผู้หญิง ? ตำนานเรื่องอาดัมและอีวา เป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาให้คนเชื่อถือ ?ถ้าอาดัมและอีวามีจริง ทำไมต้องมีเพียงเพศชายกับเพศหญิงทำไมพระเจ้าไม่คิดสร้างให้มีเพศอื่นต่อไปอีก เพราะไหน ๆ ก็สนุกสนานกับอาดัมและอีวาแล้ว น่าจะเตลิดเปิดเปิงไปให้สุดฤทธิ์
ถ้าทำได้อย่างนั้นจริง ปัญหาเรื่องกะทิถั่วดำอาจน้อยลง คงไม่มีผู้ชายอยากเป็นผู้หญิงและคงไม่มีผู้หญิงคิดอยากเป็นผู้ชาย
เมื่อเราหนีความจริงกันไม่พ้น เรื่องทุกเรื่องจึงต้องพัวพันอยู่กับความเป็นผู้ชายและความเป็นผู้หญิงไม่ว่าในความเป็นอยู่ หรือไม่ว่าในความเป็นตัวหนังสือ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นอยู่กับตัวหนังสือนั้นแยกจากกันไม่ได้หนังสืออาศัยความเป็นอยู่ และความเป็นอยู่ก็อาศัยหนังสือ ความที่ปรากฏในความเป็นอยู่เป็นข้อมูลดิบของหนังสือ และในขณะเดียวกันความเป็นตัวหนังสือมักมีอิทธิพลในความเป็นอยู่
หนังสือหรือคอลัมน์ อาจชี้แจงแสดงเหตุผลกับความเป็นอยู่ของผู้ชายกับผู้หญิงบางทีก็สอนให้ผู้ชายรู้จักวิธีโกหก บางทีก็สอนให้ผู้หญิงร้องไห้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทั้งๆ ที่รู้ว่า สันดานของผู้ชายจำเป็นต้องโกหก หรือสันดานของผู้หญิงจำเป็นต้องบีบน้ำตา แต่หนังสือก็ยังมีเรื่อง มีวิธีเดินทัพกันออกมาเป็นเล่มๆ
หลายเล่มมีอิทธิพล สามารถทำให้คนอ่านเข้าไปแบบลึกเหลือเชื่อเปลี่ยนสันดานที่แท้จริงของตนเองไปเพราะเชื่อหนังสือ
พยายามจีบผู้หญิง (ถ้าเป็นผู้ชาย) ตามแนวทางที่หนังสือแนะนำ ปกปิดลักษณะที่แท้จริงของตนเองโดยในบั้นปลายความเป็นจริงหรือของแท้ในชีวิตก็จะถูกเปิดเผย
จะไปโทษคนเขียนหนังสือก็ไม่ได้ เพราะต่างคนต่างก็มีหน้าที่ นักเขียนมีหน้าที่เขียนหนังสือคนอ่านก็มีหน้าที่อ่านหนังสือ ความเชื่อเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้
คนเขียนหนังสือนั้นมีหลายประเภท เช่นเดียวกับคนอ่านหนังสือก็มีหลายประเภทแต่คนเขียนหนังสือไม่ว่าจะเป็นประเภทใด จะต้องมีลักษณะหลักเดียวกันเป็นประการแรกคือกล้าหาญที่จะเขียนในความเป็นจริงในเรื่องราวที่ตนได้เขียนขึ้น
เรียกว่า "กล้าพูดความจริง" ว่างั้นเถอะ
ผมก็พูดไปยังงั้นแหละครับ เพราะผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง หนีสันดานโกหกไปไม่ได้เพราะฉะนั้นในการเขียนหนังสือของผม ถึงจะกล้าพูดความจริงแต่ก็เป็นความจริงที่ผู้ชายอย่างผมสมควรจะกล้าเท่านั้น
ผู้ชายและผู้หญิงในวัยหนุ่มสาว มักเป็นเหยื่อคนเขียนหนังสือได้ง่าย โดยอาศัย "ความฝัน"เป็นรากฐานในการเขียนหนังสือ
ผมเชื่อว่าทั้งผู้ชายและผู้หญิงต้องรู้ว่า ระหว่างความฝันกับความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเรื่องราวที่บอกว่าความฝันเป็นความจริงนั้นมีน้อยมาก ส่วนมากจะเป็นความจริงที่ตรงข้ามกับความฝัน
ผู้หญิงคนหนึ่งมีสิทธิ์ฝันถึงอนาคต ถึงผู้ชายในฝัน ถึงชีวิตแต่งงานในฝัน ถึงลูกหลานในฝัน
แล้วความจริงเป็นอย่างไรหรือ ?
หลายๆ คนพบว่า มันไม่ใช่เรื่องราวที่ฝัน มันไม่ใช่อย่างที่เราอ่านพบในหนังสือหลากหลายวิธีที่หนังสือกล่าวขึ้นมาล้วนแล้วแต่หาไม่พบในความเป็นอยู่ที่แท้จริง
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมรู้จัก เป็นคนชอบอ่านหนังสือ และค่อนข้างจะเข้าไปในตัวหนังสือแบบลึก ๆหลังการแต่งงานแล้วมีลูกอายุเพียง 5 ปี ก็พบว่า หนังสือที่เป็นเพื่อนชีวิตของเธออย่างแท้จริงมากที่สุดคือ หนังสือธรรมะ
เป็นงั้นไป !
ก็น่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ละครน้ำเน่าในจอทีวีช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากเป็นการฆ่าเวลาให้พ้นๆไป แต่หนังสือธรรมะกลับเป็นตัวบทใหม่ เป็นพื้นฐานแห่งการดำรงชีวิตสามารถทำให้อาการปวดหัวที่ได้รับเพราะสิ่งแวดล้อมหายไปได้
ผู้หญิงที่ได้เรียนรู้รสพระธรรม จึงกลายเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตรงข้าม คือเป็นประโยชน์กับผู้ชายของผู้หญิงคนนั้น
เพราะเธอสามารถยอมรับในสิ่งที่เธอยอมรับไม่ได้ในชั้นต้นและเมื่อผู้หญิงยอมรับพฤติกรรมของผู้ชายได้แล้ว ผู้ชายอย่างผมก็สบายไป สามารถมีชีวิตกับสันดานเดิมอย่างมีความสุข
สัมพันธภาพระหว่างผู้ชายและผู้หญิงก็จะเป็นไปด้วยความร่มเย็น
การประชุมสุดยอดของผู้นำเอเปคในเดือนนี้ ที่เราเป็นประเทศเจ้าภาพนั้น มีคำขวัญว่า A WORLD OFDIFFERENCES: PARTNERSHIP FOR THE FUTURE. ทางราชการแปลได้ห่วยมากคือแปลมันตรงๆ จาก
พจนานุกรม สอ เสถบุตร ว่า "โลกแห่งความแตกต่าง หุ้นส่วนเพื่ออนาคต"
ในฐานที่ผมเป็นนักเขียน ผมขอแปลเสียใหม่ว่า "โลกแห่งความหลากหลาย: สัมพันธภาพเพื่ออนาคต"
ความหลากหลายนั้นน่าจะหมายถึง ความหลากหลายของประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกเอเปคมีเล็กมีใหญ่ มีเศรษฐกิจแตกต่างกันออกไป ในความหลากหลายนี้ด้วยองค์กรของเอเปคการประชุมสุดยอดร่วมกันระหว่าง ผู้นำของประเทศ สามารถสร้างให้เกิดความสัมพันธ์จับมือด้วยกันได้ ประเทศเล็กๆ สามารถมีเสียงพูดกับประเทศมหาอำนาจหรือประเทศใหญ่ๆ ได้อย่างเต็มเสียงเต็มคำ ไม่มี "หนู" ไม่มี "ราชสีห์"ทุกประเทศเท่าเทียมกันบนเวทีแห่งนี้
แต่สัมพันธภาพระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงนั้น แตกต่างและหลากหลายในลีลา โดยหลักๆแล้วก็มักจะอีหรอบเดิมเสียหมด
ผมเป็นผู้ชาย มองดูผู้หญิงโดยที่ไม่ให้ผู้หญิงรู้ว่าผมกำลังมอง ผมก็จะมองไปที่หน้าอก และสะโพกเรื่อยลงไปถึงเรียวน่อง
ผู้หญิงที่ไม่มีหน้าอกบ่งบอกความเป็นผู้หญิง ไม่มีสะโพก หรือไม่มีเรียวน่องเป็นปลีแล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะไปมองดูอยู่หาสวรรค์วิมานอะไร
การมองของผมเป็นสิทธิ์ส่วนตัว เพราะผมก็เป็นผู้ชายอีกคนที่อาจจะหยุดแค่เพียงมองดูเท่านั้นไม่ได้พัฒนาก้าวหน้าลามปามไปจนถึงการเกี้ยวพาราสี
รถ 4x4 บางรุ่นน่ะมันน่ามองไหมล่ะคุณ ?
น่ามอง กับ น่าซื้อ มันต่างกันครับ การมองมันไม่ได้หมายความถึงการมีไว้ครอบครองความรู้สึกนี้ผมคิดว่า คนที่ไปเที่ยวงานมหกรรมยานยนต์ หรือ MOTOR EXPO ที่เมืองทองธานี ย่อมจะเข้าใจ
แม้ว่าถึงกระนั้นก็เถอะ อยากจะขอเข้าไปลองสัมผัสพวงมาลัยสักครั้งหรือสองครั้ง
ผู้หญิงก็เหมือนกันครับ ผมมองไปแล้ว สร้างความสุขให้กับตัวเองแล้วก็อดไม่ได้ในบางครั้งที่จะเกิดความคิดสร้างสรรค์เป็นสตอรีบอร์ด ไปเรื่อยๆ ตามประสา
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...เด็กสาวคนหนึ่งกลับจากโรงเรียน ผ่านผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ต้นไม้สูงเขาบอกเด็กสาวว่า ถ้าเธอสามารถปีนขึ้นไปบนต้นไม้ได้จะให้ 100 บาท
"สบายมาก" เด็กสาวตอบและลงมือปีนต้นไม้ด้วยความรวดเร็ว
และเมื่อเธอลงมา เขาก็มอบเงินให้เธอตามสัญญาเด็กสาวกลับไปถึงบ้านบอกกับมารดาด้วยความตื่นเต้น
"แค่หนูปีนต้นไม้ขึ้นไปเท่านั้น หนูได้เงินตั้งร้อย"
"บ้าหรือไงลูก ?" มารดาโกรธ "ไอ้บ้านั่นมันอยากมองกางเกงในของหนูต่างหากล่ะ"
วันต่อมาเด็กสาวกลับมาจากโรงเรียน เห็นผู้ชายคนเดิมยืนพิงต้นไม้สูงและเขาบอกเธอเหมือนเมื่อวันวาน แต่วันนี้เธอได้ถึง 500 บาท เด็กสาวกลับมาบอกแม่ที่บ้าน
"ก็แม่บอกแล้วใช่ไหมว่า มันแค่อยากเห็นกางเกงในของหนู" มารดาว่าบุตรสาว
"ใช่" บุตรสาวตอบมารดา "แต่วันนี้หนูฉลาดกว่าเขาค่ะ หนูไม่ได้นุ่งกางเกงใน"
เรื่องโดย : ไก่อ่อน
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56199