รุ่นนี้พอมีเหลือ
ศพป้าอ้อง
กิรดัง ได้ยินมา ตทากาเล...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...ขณะที่เจ้าของซ่องกำลังหลับสนิทก็ได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตูดังกังวาน เวลาในตอนนั้นเลยดึกมามากแล้ว
เจ้าของซ่องรู้สึกโกรธแต่ก็เก็บความรู้สึกนั้นไว้ในชุดนอน และต้องลุกมาเปิดประตูรับแขกยามวิกาลเมื่อเปิดประตูออกไปแล้วก็ยิ่งผิดหวังพบผู้ชายคนเดียวยืนทรงตัวอยู่
เป็นผู้ชายที่พิการ แขนด้วนและขาด้วน เจ้าของซ่องคำรามขึ้นว่า "ดึกดื่นป่านนี้ นอกจากว่ามึงมาทำไมแล้ว กูยังอยากรู้ มึงเนี่ยไม่เคยพิจารณาสังขารของมึงเองเลยหรือ?"
ชายผู้นั้นยิ้มร่าน "แม่คงลืมไป เมื่อตะกี้ผมกดกริ่งนะครับ"
ผู้ชายน่าจะทุกคนที่เที่ยวซ่อง เป็นสถานที่แห่งเดียวที่ผู้ชายทั่วโลกโคจร ทั้งๆ ที่นักบวชพยายามบอกว่าซ่องเป็นสถานที่อโคจร คือสถานที่ที่ไม่ควรไป
มนุษย์เรานั้นชอบทำในสิ่งที่เขาห้าม สัญญาณไฟสีแดงที่สี่แยกบอกให้เราหยุด แต่เราก็ไป สุรา พาชี นารี กีฬาบัตร ทั้งหมดนี้ท่านห้ามเพราะเป็นอบายมุข แต่ก็ทนทานความพยายามของมนุษย์เราไปไม่ได้เข้าหลักยิ่งห้ามก็ยิ่งทำ
อบายมุขทั้งสี่นั้น เรียกได้ว่าเป็นอบายมุข รุ่นออริจิน เพราะโลกเดี๋ยวนี้ มีอบายมุขมากขึ้นกว่าเดิมเพียงแค่ "ซ่อง" อย่างเดียว เราก็ดัดจริตเปลี่ยนชื่อมันไปหลายหน่อจนเกิดความสับสนจำผิดจำถูกว่าอะไรคือซ่อง ?
อาบอบนวด ก็ซ่อง คาราโอเกะ ก็ซ่องอีก ที่ไหนมีผู้หญิงที่นั่นผู้ชายเหมาหมดว่าเป็นซ่อง
ผมไปเที่ยวซ่องตอนที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว จำได้ดีว่าซ่องแรกสุดของชีวิตคือซ่องในซอยวรพงษ์ เมื่อเที่ยวได้ครั้งหนึ่งแล้วก็ต้องมีครั้งต่อไป และต่อๆ ไปซ่องที่ฮิทที่สุดของคนกรุงเทพ ฯ สมัยนั้นก็มี ซ่องตึกดิน ซ่องหลังโบสถ์พราหมณ์ ซ่องตรอกไข่ซ่องเชิงสะพานพระโขนง ซ่องซอยไปดีมาดี ซ่องใกล้สถานีรถไฟหัวลำโพง
และ "ศพป้าอ้อง" หรือ "ซ่องป้าอบ"
เพื่อนผมหลายคนเลื่อนฐานะตนเองจากคนเที่ยวซ่อง เป็นคนมีสังคม ถามว่าไปไหนหรือถามว่าคืนนี้จะไปไหน มันมักตอบว่า
"จะไปงานศพป้าอ้อง" ทุกเที่ยว และก็เป็นที่รู้กันว่า มันจะไปเที่ยวซ่องซึ่งไม่ได้แปลว่ามันจะไปเที่ยวที่ซ่องยายอบ
ซ่องเป็นที่ค้นพบของผู้ชาย ไม่มีตำราที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของซ่องผมก็เป็นผู้ชายอีกคนที่รู้จักซ่องจากการค้นพบด้วยตนเอง โดยไม่มีใครเสี้ยมสอน เหมือนกับการสูบบุหรี่กินเหล้าเมาเบียร์ ผมก็ค้นหาด้วยตัวเองทั้งสิ้น และเป็นการค้นหาในห้วงเวลาที่ผมเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยแล้ว
ผมไม่เคยเข้าใจว่า ทำไมเวลามีเพื่อนแล้ว เพื่อนทำให้เราต้องทำในสิ่งที่หวงห้าม มันสูบบุหรี่ผมก็จะสูบบุหรี่ มันกินเหล้าเมาเบียร์ผมก็จะกิน มันเที่ยวซ่องกันผมก็จะเที่ยว เที่ยวซ่องแล้วเป็นโรคผมก็ไม่รู้สึกวิตกวิจารณ์ เพราะเป็นแล้วก็หายได้ ไม่เหมือนโรคสมัยนี้ เอดส์ เป็นแล้วตายลูกเดียว
เพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน (ไม่น่าเชื่อ รุ่นผมเสือกมีตั้ง 400 คน) ต่างเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน อุปถัมภ์กันและกันอย่างเลอเลิศ ยิ่งกว่าการลอกเรียนตำรา
เพื่อนผมคนหนึ่ง มันเป็นลูกชายของราชาที่ดินย่านบางนา มีบังกาโลให้เที่ยวหลังหนึ่งในย่านนั้นผมก็ไปเที่ยวเพราะมันให้เที่ยวฟรี เข้าไปแต่ละครั้งเกรงงูจะโผล่ขึ้นมากัดตายเพราะเส้นทางเข้าไปมีแต่พงหญ้าสูง แต่ก็เข้าไปจนสำเร็จ
อุปกรณ์ที่เจ้าของสถานที่เตรียมไว้ให้ก็คือ กระโถน ขวดน้ำอยากจะใช้อุปกรณ์ทำอะไรให้กับตนเองก็ทำไป
เพื่อนผมอีกคน มีแฟนเป็นลูกสาวเจ้าของร้านขายยาหน้ามหาวิทยาลัยผมก็ซื้อยารักษาโรคผู้หญิงกับมันสบายมากไม่ต้องไปที่ร้านให้เป็นที่อับอาย สั่งมันไปตอนเช้าตอนบ่ายก็สำเร็จ
ชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัย ผมก็สนใจแต่คำว่า "ซ่อง" สนใจว่าภาษาอังกฤษจะเรียกว่าอย่างไรเพราะกำแหงหนุมานอยู่แล้วว่า อนาคตผมต้องไปเมืองนอกแหงๆ ไปแล้วก็ต้องไปให้ถึงเมืองนอกจริงๆ
ครั้นผมสนใจดูคำอังกฤษคำนี้ ผมก็มึนตึ้บเพราะมีตั้งหลายคำ ดัดจริตเรียกกันไปต่างๆ นานา ตามประสามนุษย์ที่มีความอายเหนือกว่าสัตว์
GO WENCHING แปลว่า ไปเที่ยวซ่อง ทั้งๆ ที่ WENCH แปลว่าผู้หญิงทั่วไป พอเติมคำว่า GO เท่านั้นดันมีความหมายแปลว่าผู้หญิงคนชั่ว
GO WHORING ก็แปลว่าไปเที่ยวซ่อง VISIT THE PROSTITUTE และ THE HOUSE ก็คือ ซ่องตรงกับคำว่า BROTHEL หรือคำว่า ENCOUNTER PARLOR และคำว่า CHICKEN RANCH ที่พบมากในย่านเทกซัส
ผู้หญิงที่อยู่ในซ่องสมัยผมนั้น เป็นผู้หญิงในซ่องอย่างแท้จริง รู้ทันทีว่าผมเข้าไปเพื่อจะทำอะไรบ้างผมเป็นคนชอบเที่ยวซ่องประเภทถูกใจแล้วก็ต้องไปอีก และไปหาคนเดิม ไม่เปลี่ยนคู่ขา ไปจนกระทั่งผู้หญิงเมื่อเห็นหน้าผมหลังจากผมเรียกหาแล้วก็ร้องต้อนรับ
"ผัวกูมาแล้ว"
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเที่ยวซ่องแล้วย่อมเป็นโรคง่าย ผู้ชายก็ยังไปเที่ยวกันไม่หยุดเพราะเวชภัณฑ์ของชาติสมัยนั้นสามารถปราบปรามได้ดีผู้ชายจึงหมดความเกรงกลัวหรือถ้ามีความเกรงกลัว ก็ยังน้อยกว่าเกรงกลัวเมียที่บ้าน
"หมอเพียร" เป็นหมอที่ดังมาก ดังยิ่งกว่า หมอคุณหญิงพรทิพย์ สมัยนี้ (ความจริงดังกันคนละแบบ) ท่านเป็นหมอที่อุทิศตนเองมาดูแลผู้ป่วยด้วยโรคผู้หญิงเป็นการเฉพาะผู้หญิงในซ่องต้องขอบใจหมอเพียร พอๆ กับผู้ชายทุกคนที่เป็นโรค
หมอเพียร สนุกสนานกับการทำงานของท่าน คนที่เคยผ่านการเป็นนักเรียนนายร้อยสมัยนั้นย่อมต้องรู้จักดีและรู้จักอย่างแสบสัน เพราะเมื่อเป็นโรคขึ้นมาแล้วก็หนีไม่พ้นการไปเยี่ยมหมอเพียร
หมอเพียร ก็บังคับให้เดินหน้าและถอยหลัง สั่งเหมือนผู้บังคับบัญชาทหาร เดินหน้า หมายถึง รูดเข้าส่วนถอยหลังก็คือ รูดออก ต่อจากนั้นก็หันก้นให้หมอเพียรใช้เข็มแทงซะหนึ่งที
"ซนนักนะเรา" หมอเพียร พูดสั้น ขณะแทงด้วยเข็มซึ่งผู้ที่ถูกแทงจะมีความรู้สึกเหมือนเป้าที่ถูกปาด้วยลูกดอกอย่างไรอย่างนั้น !
ผู้ชายสมัยนั้น หากไม่รู้จักหมอเพียรผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาอนุเคราะห์และสงเคราะห์ความเป็นผู้ชายให้กับนักเที่ยวซ่องโดยสมบูรณ์ ก็คือผู้ชายที่ไม่เที่ยวซ่อง
ซ่องสมัยไหนๆ มีคนเปรียบเปรยว่าเป็นคุกมากกว่าเป็นซ่อง ก็น่าจะจริง เพราะซ่องบางแห่งเป็นเหมือนคุกผู้หญิงในซ่องก็คือคนที่ติดคุก เดือดร้อนถึงคุณปวีณา ต้องไปช่วยเหลือให้รอดออกมาจากคุกให้ได้
สภาพของซ่องหรือสภาพชีวิตผู้หญิงในซ่องเป็นอย่างไรก็บอกไม่ถูกเพราะเท่าที่เคยรู้ก็ล้วนแต่ได้ยินมาจากปากของผู้หญิงในซ่อง สารพันเรื่องราวที่เธอนำมาเล่าก็เพื่อต้องการ ทิพพิเศษจากผมหรือจากผู้ชายที่เข้าไปเที่ยว สภาพของมันอาจเป็นเหมือนคุกก็ได้บางคนก็เข้าไปด้วยความสมัครใจ บางคนก็เข้าไปเพราะถูกบังคับ ถูกหลอกลวง
ผมเคยไปเที่ยวเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส ขณะที่มีงานประกวดภาพยนตร์และได้ชมภาพยนตร์เรทเอกซ์เป็นครั้งแรกในโรงใหญ่ จอใหญ่ เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งถูกบังคับทรมานให้เป็นผู้หญิงในซ่องในที่สุดเธอก็หนีได้และออกมาล้างแค้นผู้ชายที่ทำกับเธออย่างสะใจ
คุกกับซ่องนั้น แตกต่างกัน ถ้าผมบอกเพื่อนว่า...มึงจะไปเข้าคุก หรือว่ามึงจะไปเที่ยวซ่อง ?
ร้อยทั้งร้อยมันต้องบอกว่า ขอไปที่ชอบๆ คือ ไปซ่อง
แต่ผู้ชายอย่าง วิลเลียม เบลค ผู้ประพันธ์ THE MARRIAGE OF HEAVEN AND HELL พูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างไม่กวนอารมณ์
"PRISONS ARE BUILT WITH STONES OF LAW, BROTHAL WITH BRICKS OF RELIGION."
เรื่องโดย : ไก่อ่อน
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56182