รุ่นนี้พอมีเหลือ
ผู้ชาย และ หมา
ในบรรดาเรื่องสั้นของ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ผมชอบเรื่อง "มอม" มากที่สุดเป็นเรื่องเกี่ยวกับหมาลูกครึ่งชื่อ "มอม" พ่อเป็นเยอรมัน (อัลเซเชียน) อยู่ถนนเพชรบุรี แม่เป็นไทยอยู่ตลาดประตูน้ำ
และผมก็ดีใจเมื่อทราบว่า เรื่องเดียวกันนี้เป็นเรื่องที่ คุณชายคึกฤทธิ์ สารภาพว่า "รักมากที่สุด" พร้อมกับเปิดเผยความในใจของท่านตอนหนึ่งว่า
"ผมเป็นคนรักหมามาแต่อ้อนแต่ออก อยู่กับหมาจนรู้ภาษาหมา ขณะที่เขียนเรื่อง "มอม" ผมก็ทำใจเป็นหมา และกล้าพูดได้อย่างไม่อายว่า ขณะที่เขียนเรื่องนั้น ผมเสียน้ำตาไม่รู้จักเท่าไรเพราะขณะที่เขียนนั้น ผมก็มีความรู้สึกอย่างที่หมาดีๆ จะมีความรู้สึกได้และได้เขียนไปด้วยความรู้สึกของหมาแท้ๆ"
คุณชายคึกฤทธิ์ เขียนในปี 2495 ถนนเพชรบุรีตอนนั้น แคบนิดเดียวและไม่ยาวไปกว่าประตูน้ำรถราก็ไม่มาก จึงเชื่อได้ว่าอุปัทวเหตุที่บังเกิดกับเยอรมันและไทยจนทำให้มีการปฏิสนธิ "มอม" ขึ้นมานั้น มีความเป็นไปได้
ผมชอบเรื่องนี้มากและเคยมีความฝันว่า หากผมได้ลิขสิทธิ์ในการสร้างเป็นภาพยนตร์แล้วผมต้องการสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนมากกว่าใช้มนุษย์แสดงทั้งเรื่อง
"MOM: AN ADVENTURE OF A THAI DOG" โดย มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช (BY KUKRIT PRAMOJ) ด้วยข้อความบนลอบบีบอร์ด หรือในโปสเตอร์ เพียงเท่านี้ น่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ขายได้ทั้งโลกเพราะนามของคุณชายคึกฤทธิ์ ดังมาแล้วในย่านฮอลลีวูด จากการร่วมแสดงกับ มาร์ลอน บแรนโด ในเรื่อง "THE UGLY AMERICAN" ปี 1963
มอมอยู่มักกะสัน มีนายคนหนึ่งและแม่อีกคนหนึ่ง ที่อยู่ของมอมก็คือ ใต้ถุนบ้านไม้เก่าๆ สองชั้นขนาดเล็ก ไม่ได้ทาสี ตั้งแต่มอมจำความได้มันก็รู้ว่ามีคนๆ หนึ่ง มุดเข้ามาใต้ถุนใช้มืออุ้มชูและลูบคลำมันเล่น เมื่อมอมมันเพราะเขี้ยวกำลังขึ้น มันก็กัดมือนั้นเล่นบ้าง เลียเล่นบ้างบางครั้งเจ้าของมือยกตัวมันขึ้นมาใกล้ๆ ติดกับใบหน้า มอมก็กระดิกหางด้วยความดีใจจนตัวสั่นเลียหน้าเลียปาก มอมมันจำกลิ่นไว้และพร้อมกับกำหนดสัญญาขึ้นมาว่า คนๆ นั้นคือ นายของมันแล้วมันก็รัก
นี่คือมอม และคือหมา มันคือเพื่อน เป็นหุ้นส่วนของชีวิต และเป็นองครักษ์พิทักษ์คุณเพราะคุณคือนายของมัน เป็นชีวิตของมัน เป็นชีวิตที่มันรักเป็นผู้นำของมันซึ่งมันให้ความจงรักอย่างสุดหัวใจ
ไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัว แค่หางของมันก็กินขาด มีเงินหน่อยก็ซื้อหมาดีๆ ได้แต่ไม่มีวันซื้อหางให้กระดิกได้อย่างเด็ดขาด
ผมเป็นผู้ชาย แต่ถ้ามีใครสักคนจะมาบอกว่า ผมเลวเหมือนหมาผมคงฟังไม่ได้เพราะผมจะไม่มีวันรู้สึกเลยว่าหมามันบังอาจเลวเท่าผม
บ้านผมเลี้ยงหมา ผมจึงรักหมาและสนใจเรื่องราวของมันที่ปรากฏในที่ต่างๆ ทั้งในสังคมชาวบ้านและในสังคมการเมืองซึ่งหมามันเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างสบายๆ ทั้งๆ ที่มันไม่สนใจ
ในทางการเมือง หมามันถูกสั่งให้กัดคนยากจนทั้งๆ ที่มันทำลงไปตามสั่งมันถูกอบรมให้เชื่อฟังในคำสั่งไม่ว่าเป็นคำสั่งผิดหรือถูก หากนายสั่งแล้วมันก็ต้องทำถ้ามันรู้ว่าหน้าที่ใหม่ของมันคือ ปราบ MOB มันก็คงไม่เอาด้วยเพราะมันจะต้องกัดคนยากจนเพื่อการขับไล่คนยากจนออกไปจากทำเนียบรัฐบาล
และในสังคมการเมืองอีกนั่นแหละผมได้ยินเรื่องราวอันสลดใจเพราะมีคนพบหมาสองตัวถูกฆ่าตายแหงแก๋อยู่บริเวณทำเนียบรอยแผลของมันที่ปรากฏบริเวณลำคอมีลักษณะคล้ายกับถูกเชือดการชันสูตรนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันจากคุณหญิงหมอพรทิพย์
แต่ผมก็สะเทือนใจ เพราะเหตุมาจากมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ประเสริฐกว่าหมาฆ่าหมาทิ้งเป็นการประชดผลงานรัฐบาลอันไม่เป็นที่พึงพอใจ
อย่างไรก็ตาม คดีมรณะของหมาสองตัวนี้ได้รับการสอบสวน ผลของการสอบสวน ฮา...ฮายิ่งกว่าละครน้ำเน่าทางจอโทรทัศน์ เนื่องจากมีการลงความเห็นว่า หมาที่อยู่ทำเนียบทุกวันได้ยินแต่นักการเมืองพูดจากันคนละเรื่องรัฐมนตรีพูดไปอย่างหนึ่งและนักการเมืองพูดไปอีกอย่างหนึ่ง หมาจึงเกิดความเครียดและไม่มีใครสนใจซื้อยาแก้เครียดให้มันรับประทาน
มันจึงฆ่าตัวตายด้วยการเชือดคอตนเอง...
เป็นงั้นไป...!
หมากลายเป็น "อาวุธ" ของนักการเมืองถูกชักนำมาเปรียบเปรยไปในทางที่หมาหมดโอกาสชี้แจงแสดงเหตุผลเป็นต้นว่าใครก็ตามถ้าทำอะไรขึ้นมาเข้าลักษณะเป็นการเอาอกเอาใจฝรั่งก็จะต้องเอาหมามาเปรียบเทียบว่า กระดิกหัวกระดิกหางจนเป็นที่หมั่นไส้ เรื่องนี้ คุณชายคึกฤทธิ์อีกนั่นแหละ สมัยท่านเป็นนักการเมืองอธิบายว่า มันเป็นเรื่องที่หมาเข้าใจเอาเองว่า นายของมันพอใจยกย่องไว้ในฐานะเดียวกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดของหมาโดยแท้
เพราะความจริงแล้ว เจ้าของหรือนายของมันก็ยังเห็นมันเป็นหมาอยู่นั่นเองส่วนการที่นายแสดงความชื่นชมยินดีก็เพราะหมามันพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาใจนายต่างหาก
หมาไม่ได้มีความดุร้ายมากไปกว่าความน่ารัก คนที่ทำหมาให้น่ารักเป็นฝรั่งชื่อ วอลท์ ดิสนีย์ฝรั่งคนนี้ทำสัตว์หลายชนิดน่ารักไปหมด แม้แต่ช้างสัตว์ใหญ่โตมโหฬารก็ทำให้มันบินได้อย่างน่ารักในการ์ตูนเรื่อง "DUMBO" หรือเป็ดก็กลายเป็น DONALD DUCK เป็นตำนานของคนดูหนัง และของเด็กๆ ทั้งโลก
ความน่ารักของหมาจากหนังของวอลท์ ดิสนีย์ มีมาแต่ปี 1955 "ทรามวัยกับไอ้ตูบ" (LADY AND THE TRAMP) "101 DALMATIANS" ปี 1961 ที่อีสานรู้จักในชื่อเรื่องว่า "หมาน่อยร่อยเอ้ด" และ "THE FOX AND THE HOUND" ในปี 1981
ไม่ว่าจะเป็น GOOFY หรือ PLUTO วอลท์ ดิสนีย์ สร้างขึ้นมาอย่างน่ารัก
เช่นเดียวกับความน่ารักของ "มอม" ที่ผมชอบมากความจงรักของมอมมันทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในสังคมของมนุษย์ด้วยกัน
ช่วงเวลาที่มอมมีชีวิต เป็นยามสงคราม มีเครื่องบินมาทิ้งระเบิดบ้านที่มอมอยู่จนไฟไหม้หมดทั้งหลังก่อนหน้านี้นายหายไปจากบ้าน หลายปีถัดมา มันใช้ชีวิตใหม่อยู่กับตึกหลังใหญ่คืนหนึ่งมันเฝ้าบ้านขณะเจ้าของบ้านไปเที่ยวทะเลกันหมด มันรู้สึกว่ามีคนงัดบ้านมันจึงเตรียมสำแดงฝีมือเต็มที่เพื่อให้นายใหม่ของมันเห็นแต่ก่อนที่มันจะกระโจนเข้าใส่โจรระดับกระจอกลมได้พัดเอากลิ่นตัวของคนผู้นั้นเข้ามาถึงจมูกของมอม ทำให้มอมแทบหัวใจหยุดเต้นเพราะมันจำได้ดีว่า กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นของนายที่มันตั้งใจคอยมาเป็นปีกิริยาที่โถมใส่เข้าไปหาอย่างดุร้ายกลายเป็นถาโถมเข้าไปด้วยความดีอกดีใจเต็มกำลังจนทำให้นายหงายหลัง
และในคืนนั้น หมากับคนๆ หนึ่ง ก็เดินไปด้วยกันบนถนนราชวิถี ด้วยกิริยาที่ต่างกันคนเดินอย่างเชื่องช้า อ่อนระโหยส่วนหมาเดินคอตั้งหางเชิดปากคาบกิ่งไม้วิ่งตามไปด้วยความเบิกบานสุดขีด
เล็ก วงศ์สว่าง เพื่อนผมเล่าเรื่องนี้ระหว่างฝนโปรยลงมาบางเบา
เพื่อนชายสามคน สนิทด้วยกันทั้งสามคน หลังกินเหล้าเมายาเรียบร้อยดีในคืนนั้นก็ขับรถกลับบ้านโดยอาศัยไปในรถคันเดียวกันทั้งสามคน
รถยนต์ของพวกเขามาหยุดที่สี่แยกสัญญาณไฟแห่งหนึ่งเพราะติดไฟสัญญาณสีแดง
ระหว่างรอสัญญาณไฟเขียว พวกเขามองออกไปข้างถนนเห็นหมาผู้และหมาเมียแสดงความรักซึ่งกันและกันอย่างดูดดื่ม พวกเขาเปลี่ยนสายตามามองหน้ากันและกันในรถ
"เอายังงี้นะ" คนหนึ่งออกความเห็น "คืนนี้ เมื่อมึงกลับถึงบ้าน จงแสดงความรักกับเมียให้เหมือนอย่างที่เราเห็นภาพอยู่นี่ เสร็จแล้วพรุ่งนี้มาเล่าประสบการณ์ให้ฟังกันหน่อย"
รุ่งเช้า พวกเขามาพบกันที่สำนักงานและต่างเล่าประสบการณ์สู่กันและกัน
"เมียกูบอกทำไมกูพิเรนทร์แบบนี้ แต่ชอบนะ" คนที่หนึ่งว่า
"เมียกูตื่นเต้นมาก บอกว่าเร้าใจดี" คนที่สองพูด
"ของกูแย่หน่อย ต้องไปโรงพักด้วยกันทั้งกูและเมียกู" คนที่สามว่าอย่างหัวเสีย
"จับได้ยังไง ผัวเมียรักกันมันผิดกฎหมายข้อไหน ?" สองคนสงสัย
"เป็นเพราะกูอยากทำให้เหมือนจริงๆ กูเลยลากเมียไปแสดงความรักที่สี่แยกสัญญาณไฟตรงนั้น"
เรื่องโดย : ไก่อ่อน
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56112