ฟ้ากว้าง ทางไกล (4wheels)
ลัวะเมืองน่าน
เส้นทางที่ชันกว่า 45 องศา ทอดตัวต่อไปเรื่อยๆ ดูจะไม่มีที่สิ้นสุด เป้ที่อยู่บนหลังดูหนักขึ้นตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น ผมหวังว่าจะมีมอเตอร์ไซค์สักคันที่สามารถพาเรามาที่นี่ แต่ทางที่มีแต่ขึ้นอย่างเดียวตลอดกว่า 5 กม. คงเป็นคำตอบที่ดีว่าแทบเป็นไปไม่ได้ เมื่อผ่านเนินสุดท้ายมาทางจึงเริ่มลงสู่หุบเขา ม่านเมฆของฤดูฝนเริ่มคลี่ออก เผยให้เห็นบ้านลัวะ 21 หลังที่ซ่อนตัวอยู่ หลังคาที่มุงด้วยหญ้าบอกให้รู้ว่าที่นี่ยังคงเหมือนเช่น 200 กว่าปีก่อนที่จะตั้งหมู่บ้านสิ่งศิวิไลซ์สิ่งเดียวที่เรามองเห็นจากด้านนอกก็คือ ที่ประชุมหมู่บ้านซึ่งสร้างโดย อบต. เป็นหลังคาสังกะสี ซึ่งสร้างตรงข่วงบ้านอันที่ต้องเสียหมูเป็นเครื่องเซ่นสังเวย เพื่อขอขมาผีประจำหมู่บ้าน ที่นี่หมอฮีต และผู้ใหญ่บ้านดูจะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้านมากกว่าสิ่งอื่น
ใกล้ถึงโรงเรียนสถานที่พักแรม เสียงเลื่อยไม้ดังระงมใกล้หูขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่นักศึกษาจากชมรมชาวเหนือของสถาบันชื่อดังแห่งหนึ่งกำลังร่วมแรงสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ทดแทนของเก่าที่ถูกไฟไหม้ผมเข้าร่วมออกค่ายในฐานะผู้สังเกตการณ์ ที่จริงๆ แล้วเพื่อศึกษาวิถีชีวิตอันดั้งเดิมของคนลัวะแห่งเมืองน่าน หรือที่คนไทยเรียกเขาว่าถิ่นเป็นเชิงดูถูก และเนื่องด้วยหมู่บ้านที่ยังบริสุทธิ์อยู่มาก ไม่มีความทันสมัยของคนเมืองเข้าไปยุ่มย่ามมากนัก แม้ว่าชาวบ้านเริ่มออกมาติดต่อสัมพันธ์กับคนพื้นราบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมารับจ้างแรงงาน การศึกษาเริ่มมีบทบาท แต่ด้วยความเข้มแข็งในวัฒนธรรมของผู้นำ ซึ่งจะไม่อนุญาตสิ่งใดก็แล้วแต่ที่จะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา ถึงแม้บางครั้งจะเข้าใจได้ยากตามสายตาของผู้คิดว่าตัวเองศิวิไลซ์อย่างเรา ซึ่งแม้แต่การถ่ายรูปของผมก็ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด และจะไม่ได้รับอนุญาตหากหมอฮีตคิดว่าไม่เหมาะสม
สารคดีเรื่องนี้ จึงขอนำเสนอในแง่ของสารคดีภาพ และของดเว้นการให้ข้อมูลสถานที่ตั้งเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบและมีความเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้
นักศึกษาจากเมืองฟ้าอมรเดินทางกว่า 700 กม. เพื่อมาช่วยสร้างอาคารเรียนแห่งใหม่ให้แก่หมู่บ้านลัวะ บนเทือกเขาใกล้ดอยภูคา แม้ฝนในเดือนตุลาคมจะเป็นอุปสรรคสำคัญ แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยด้วยดีภายในสามอาทิตย์ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากทบวงมหาวิทยาลัย
นักศึกษาหญิงใช้เวลาว่างจากหน้าที่ทำอาหาร ช่วยตัดเล็บให้แก่เด็กๆ ในหมู่บ้าน การบริการเช่นนี้รวมไปถึงบาร์เบอร์เคลื่อนที่
วันที่ 25 ตุลาคม 2545 ชาวบ้านและนักศึกษาร่วมกันฉลองความสำเร็จ มีการแสดงต่างๆที่ได้เตรียมกันมาของแต่ละฝ่าย ในภาพ นักศึกษากำลังแสดงการเต้นรำแบบตะวันตก คนชุดขาวด้านขวาที่เห็นกำลังตบมือ คือประธานชมรมชาวเหนือ
ชาวบ้านที่แต่งตัวในชุดดั้งเดิมกำลังทำพิธีขอพรก่อนที่จะบายศรีสู่ขวัญให้แก่นักศึกษา เทียนที่เห็นสว่างจุดเดียวในกระด้งทำจากขี้ผึ้ง ชาวบ้านน้อยคนที่จะมีไฟฉายเป็นของตัวเอง พวกเขาจะใช้คบที่ทำจากไม้ไผ่ผ่าปลายให้แตกออกเป็นซี่ๆ หรือเทียนขึ้ผึ้งเท่านั้นหมายเหตุ: (1,2,3,4 ให้จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน)
นายหวัน ใจปิง น้องชายของหมอผีประจำหมู่บ้านกำลังทำขวัญข้าวบนลานไม้ไผ่ที่เตรียมไว้เหนือไร่ เครื่องเซ่นไหว้ก็คือ ไก่ที่จะทุบให้ตายเนื่องจากไม่ต้องการให้เลือดนอง และนำเลือดไก่ป้ายทั้งสี่ทิศ จะสังเกตเห็นได้ว่าทั้งหมู่บ้านใช้นามสกุลเดียวกันหมดคือ ใจปิง เนื่องด้วยพวกเขาไม่มีนามสกุลและภาษาเขียนเป็นของตนเอง เมื่อทางราชการทำสำมะโนประชากรจึงตั้งนามสกุลนี้ขึ้น และอาจกล่าวได้ว่าทั้งหมู่บ้านเป็นญาติพี่น้องที่ค่อนข้างใกล้ชิดกัน พวกเขาไม่สามารถแต่งงานกับคนจากหมู่บ้านอื่นได้ ยกเว้นบ้านน้ำแพะที่ถือผีเดียวกัน
สมาชิกจากบ้าน อบต. ดวง ใจปิง นำโดย นายสม ใจปิง คนขวาสุดมากันที่ไร่เพื่อทำพิธีเชิญผีไร่กลับสู่ไร่ ถุงที่แขวนอยู่บนคานคือสุนัขที่โชคร้าย เนื่องจากผีที่ไร่นี้ค่อนข้างแรงจึงต้องเซ่นด้วยสุนัข แต่เพราะว่าคนหมู่บ้านนี้ไม่กินสุนัข ชาวบ้านจากบ้านห้วยลัวะสองคน จึงเป็นคนฆ่า และซื้อสุนัขหลังจากทำพิธีแล้วเป็นเงินสองร้อยบาท (ภาพเปิดสองหน้า)
สม ใจปิง กำลังโยนสะโหลดที่ไร่ เป็นการอำลาไร่แห่งนี้ จนกว่าจะวนกลับมาใช้อีกในหลายปีข้างหน้า การทำไร่หมุนเวียนเช่นนี้ เป็นการอนุรักษ์ดินและป่าไม้อย่างหนึ่ง นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมและการอนุรักษ์ไปด้วยกันได้อย่างไร ส่วนการโยนสะโหลด เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งในพิธีกินดอกแดง ชาวบ้านจะมารวมตัวกันที่ข่วงบ้าน หรือลานกลางบ้าน เพื่อแข่งขันกันว่าของใครจะโยนได้ไกลและเสียงไพเราะที่สุด ตัวสะโหลดจะทำด้วยไม้กำหลายอันตัดเป็นท่อนปลายแหลมมัดรวมกัน แล้วอุดด้วยดินให้เหลือรูที่ลมผ่านเพื่อเกิดเสียงตามต้องการ ส่วนหางจะผูกด้วยดอกอ้อเพื่อบังคับทิศทาง แล้วเชือกผูกกับไม้เพื่อใช้โยน (ภาพเล็กในหน้าเปิด)
ที่บ้าน อบต. ดวง ใจปิง นางหลวย ใจปิง กำลังไปตักน้ำที่แอ่งน้ำบนภูเขาโดยใช้กระบอกไม้ไผ่ที่อยู่บนหลัง ในวันพิธีกินดอกแดงหลังเก็บเกี่ยว น้ำที่ใช้จะต้องมาจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติเท่านั้น โดยไม่มีการช่วยเหลือจากเครื่องมือสมัยใหม่
ใต้ถุนบ้านพวกเขาก็เหมือนกับบ้านของคนชนบทอื่นๆ ที่เลี้ยงสัตว์ไว้ใต้ถุน ทั้งหมูไก่ ควาย ส่วนสุนัขมักจะนอนอยู่บนบ้าน เพราะเป็นสมาชิกที่สำคัญในการช่วยล่าสัตว์ แต่ที่ดูจะเป็นพิเศษก็คือ ไก่แต่ละตัวจะมีเล้าเล็กๆ ประจำเป็นของตนเอง และแขวนไว้กับคานใต้ถุนเป็นที่น่าดู
คนลัวะที่นี่ส่วนใหญ่จะยากจนในเชิงเศรษฐศาสตร์ของคนเมือง ปัจจุบันพวกเขาเลิกใส่ชุดดั้งเดิมของตนเองแล้ว เสื้อผ้าส่วนใหญ่ได้จากคนเมืองที่ให้ หรือซื้อหาในราคาถูก
การล่าสัตว์เป็นเรื่องปกติของที่นี่ แต่สัตว์ที่มีก็มักเป็นสัตว์เล็ก พวกนก กระรอก หนู อ้นนานๆ ครั้งถึงจะมีสัตว์ใหญ่อย่าง เก้ง หรือหมูป่า ให้ล่า ด้านหลังของเด็กชายเดช และเด็กชายหวัน ใจปิงคือน้ำตกด้านหลังหมู่บ้าน ที่ต้องเดินลงเขาไปราวครึ่งชั่วโมง พวกรุ่นน้องจากสถาบันที่มาออกค่ายตั้งชื่อว่า น้ำตกนันพบ ตามชื่อของเขา น้ำตกนี้มีหลายชั้น ชั้นบนสุดสูงราวสามสิบเมตร และสวยงามมาก แต่ไม่น่าส่งเสริมเป็นการท่องเที่ยว เพราะจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ทำลายวัฒนธรรมของลัวะเร็วขึ้น (ภาพเต็มหน้า)
บ้านของลัวะตั้งอยู่บนขุนเขาสูงราว 1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล น่านเป็นแหล่งพักพิงของคนลัวะจากลาว ที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากลัวะเชียงใหม่ (ภาพใหญ่)
หมายเหตุ ของดข้างหลังภาพฉบับนี้เหลือพื้นที่สำหรับภาพ และคำอธิบาย
เรื่องโดย : สุเทพ กฤษณาวารินทร์
ภาพโดย : สุเทพ กฤษณาวารินทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ฟ้ากว้าง ทางไกล (4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56100