พิเศษ(4wheels)
4 WHEELS CAMP
4 WHEELS CAMP ครั้งสุดท้ายของปี 45 พาศิษย์เก่า "สปิริท" (โรงเรียนพัฒนาทักษะการขับขี่รถขับเคลื่อนสี่ล้อ) และผู้รักธรรมชาติ เดินทางสู่ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก สัมผัสนกนานาชนิด และสัตวป่าที่น่าสนใจมากมาย ระหว่างวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2545
7 โมงเช้าที่ปั๊มคาลเทกซ์โซเฟียสตาร์ จุดนัดพบประจำ เราเดินทางมุ่งหน้าสู่ที่หมายแรกคือ โรงเรียนเด็กชาวกะเหรี่ยง ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ หน่วยพิทักษ์ป่าตะเพินคี่ ซึ่งเราจะเข้าไปบริจาคสิ่งของให้แก่นักเรียน
4 ชั่วโมงในการเดินทาง ผ่านตัวจังหวัดสุพรรณบุรี โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 340 สายตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ก่อนแยกเข้าไปอำเภอบ้านไร่เพื่อแวะรับผัดไทยและข้าวมันไก่เจ้าที่มีชื่อด้านรสชาติ สำหรับอาหารเที่ยงมื้อแรก
ต่อจากจุดนี้ไป เส้นทางที่ไปยังโรงเรียนในหน่วยพิทักษ์ป่าตะเพินคี่ เป็นเส้นทางธรรมชาติ ที่มีทางลูกรังสลับกับถนนราดยางบางช่วง ลัดเลาะไปตามแนวเขตอุทยานแห่งชาติพุเตย ซึ่งตรงนี้รถทุกคัน ต้องเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนมาเป็นสี่ล้อทั้ง 4H และ 4L ตามพื้นที่ 30 นาทีต่อมา รถทุกคันเดินทางถึงปากทางเข้าสู่หน่วยพิทักษ์ป่าตะเพินคี่
13.5 กิโลเมตรคือระยะทางจากปากทางเข้าไปถึงหน่วยพิทักษ์ป่าตะเพินคี่ เส้นทางนี้จะต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะลัดเลาะไปตามแนวเขา ที่มีทั้งหิน ลูกรัง และโคลน สลับกันเป็นช่วง ประมาณ 1 ชั่วโมง รถทุกคันเดินทางถึง "ห้องเรียนตะเพินคี่" โรงเรียนสอนเด็กชาวกะเหรี่ยง ซึ่งมีครูมานัส เมืองช้าง คนไทยเพียงคนเดียวที่สอนเด็กนักเรียนชาวกะเหรี่ยง ให้รู้จักภาษาไทย เพื่อป้องกันการโดนหลอก
ธรรมชาติที่สวยงามและอากาศที่เย็นสบายบริเวณรอบๆ โรงเรียน ช่วยให้ทุกคนทานอาหารมื้อกลางวันอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนมอบสิ่งของให้แก่ครูและเด็กนักเรียนที่นั่น จากนั้นจึงเดินทางกลับเส้นทางเดิม มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติพุเตย ซึ่งเป็นเส้นทางธรรมชาติอีกเส้นทางหนึ่งที่กำหนดไว้เพื่อให้ผู้ร่วมเดินทางได้นำทักษะที่เคยเรียนมาใช้อย่างเต็มที่
หลังจากขับเที่ยวชมธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติพุเตย รถทุกคันเดินทางลงมาจากอุทยานเพื่อมุ่งหน้าสู่ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี
ช่วงค่ำเราเดินทางถึงที่หมาย หาที่จับจองกลางเทนท์ริมบึง ก่อนร่วมรับประทานอาหารค่ำ มื้ออร่อยแบบไทยๆ ที่มีทั้งผักและปลาสารพัดชนิด จากนั้น พรชัย ปทุมรัตนาธาร หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก กล่าวต้อนรับ พร้อมให้ข้อมูลแนะนำสถานที่แห่งนี้ ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน
วันที่สอง
เที่ยวชมธรรมชาติ
เช้าวันที่สอง สัมผัสธรรมชาติริมบึงฉวากตอนเช้าตรู่ นั่งดูนกเป็ดแดงที่บินหนีหนาวมาอาศัยอยู่ที่นี่ อาหารเช้าถูกจัดเตรียมไว้ก่อนจะมีการเล่นเกมอย่างสนุกสนาน ส่วนหนึ่งของกิจกรรมของครอบครัวที่ได้เตรียมไว้ จากนั้นจึงเดินทางไปที่ ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่า บึงฉวาก เพื่อรับฟังข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้
อุทยานแห่งชาติพุเตย
อุทยานแห่งชาติพุเตย เริ่มสำรวจจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อปีงบประมาณ 2538 โดยรวมพื้นที่ของวนอุทยานพุเตย และวนอุทยานพุกระทิงเข้าด้วยกัน เนื้อที่ประมาณ 145,450 ไร่ ต่อมากรมป่าไม้ได้ผนวกพื้นที่ป่าหมู่บ้านตะเพินคี่เข้าเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ รวมเป็นพื้นที่ทั้งสิ้น 198,422 ไร่ และได้ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ลงวันที่ 30 กันยายน 2541
สถานที่ท่องเที่ยว
- ป่าสนสองใบ เป็นป่าแปลกมหัศจรรย์ เพราะสนสองใบจะเจริญเติบโตในพื้นที่ภูเขาสูงชัน มีอากาศหนาวและชื้น เช่น จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศ หรือภาคอีสานตอนเหนือที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรขึ้นไป แต่ป่าสนสองใบในพุเตย อยู่ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 763 เมตรเท่านั้น และเป็นป่าสนสองใบแห่งเดียวในภาคกลางจำนวน 1,376 ต้น
นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยว และสถานที่สำคัญอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น ถ้ำหมีน้อย ย้อยระย้าและผาใหญ่ น้ำตกพุกระทิง น้ำตกตะเพินคี่ หมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ (หมู่บ้านปลอดอบายมุข และของมึนเมาทุกประเภท) ศาลเลาดาห์แอร์ และจุดที่เครื่องบินจากสายการบินเลาดาห์แอร์ตก
บึงฉวาก พื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ
บนเส้นทางระหว่าง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ไป อ.หันคา จ.ชัยนาท มีบึงน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ กว้างไกลสุดสายตา กลางบึงเต็มไปด้วยบัวหลวงทั้งสีขาวและสีชมพู และในราวเดือนกันยายน-พฤษภาคม จะเห็นเปิดแดงฝูงใหญ่ ลอยตัวจับกลุ่มตามกอบัว
บึงฉวากได้รับการประกาศให้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่ามาตั้งแต่ปี 2526 เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศในพื้นที่ร่วม 2,000 ไร่นี้ไว้ และด้วยความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์ที่มีในบึง บึงฉวากจึงถูกจัดให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ ตามอนุสัญญาแรมซาร์ (RAMSAR CONVENTION) ที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีมาตั้งแต่ปี 2541
สถานท่องเที่ยว
1. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก บริเวณที่ทำการเขต ฯ เป็นจุดที่เหมาะแก่การดูนกในธรรมชาติมากที่สุดจุดหนึ่ง ในตอนกลางวันฤดูหนาวจะมีนกอพยพเข้ามา จะเห็นเป็ดแดงฝูงใหญ่ นกยางกรอกพันธุ์ชวา และนกอีแจว
2. ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองราชย์เป็นปีที่ 50
ประกอบไปด้วยศูนย์บริการนักท่องเที่ยว กรงเลี้ยงนก เสือโคร่ง และสัตว์สวยงามอีกหลายชนิด
3. ศูนย์รวบรวมพันธุ์ไก่ เป็นหน่วยงานของกรมปศุสัตว์ สาธิตวิธีการเพาะเลี้ยงไก่ชนิดต่างๆ เช่น ไก่แจ้สวยงาม ทั้งพันธุ์พื้นเมืองของไทย
และพันธุ์ต่างประเทศ ไก่จุก ไก่หยอง ไก่ต๊อก นอกจากนี้ยังมีกรงเพาะเลี้ยงนกกระจอกเทศให้ผู้สนใจเข้าชมได้ทุกวัน
4. อุทยานผักพื้นบ้าน ฯ สถานที่รวบรวมพันธุ์ผักพื้นบ้านทุกชนิดจากทั่วประเทศ ทั้งสมุนไพร ไม้ล้มลุก และไม้ยืนต้นประมาณ 500 ชนิด
นำมาจัดตกแต่งเป็นภูมิทัศน์ที่สวยงาม และมีห้องสมุดบริการคอมพิวเตอร์สำหรับค้นคว้าข้อมูลพันธุ์ผัก
5. บ่อจระเข้น้ำจืด กรมประมงได้ปล่อยจระเข้น้ำจืดไว้ 50 ตัว ในบ่อขนาดใหญ่ 50 ไร่สภาพธรรมชาติ ซึ่งสามารถเข้าชมได้อย่างใกล้ชิด
6. สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ เป็นหน่วยงานของกรมประมง ได้รวบรวมพันธุ์ปลาหายาก เอาไว้ให้ประชาชนได้ศึกษา อาทิ ปลาบึก ปลาเสือ ปลาตะพัด เป็นต้น
7. วัดพึ่งคงคาราม เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุใกล้เคียงกับวัดฉวาก มีต้นก้ามปูขนาดใหญ่ที่ดูสงบร่มเย็น
8. วัดฉวาก ภายในอุโบสถมีหลวงพ่อดำที่ชาวบ้านให้ความเคารพบูชา หน้าวัดมีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ และมีพระราชานุเสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประดิษฐานอยู่
จากนั้นจึงเริ่มเดินทางเที่ยวธรรมชาติด้วยรถตัวหนอน เพื่อชมพันธุ์พืชผัก รวมถึงสัตว์บกและสัตว์น้ำนานาชนิด
ในบรรยากาศแบบครอบครัว ก่อนทานอาหารเที่ยงมื้อสุดท้ายริมบึง แล้วแยกย้ายกันเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ
บรรยายภาพ
A.ภาพเปิด
1. ถ่ายภาพร่วมกันที่ปั๊มคาลเทกซ์โซเฟียสตาร์ ก่อนออกเดินทาง
2. ลุยน้ำลุยโคลน มีให้เจอในทริพนี้บ้าง
3. ถึงโรงเรียนถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกัน
4. มอบของให้แก่คุณครู ที่ดูแลห้องเรียน
5. การแสดงที่น่ารักของเด็กๆ ชาวกะเหรี่ยง
6. เลี้ยงอาหารมื้อกลางวันแก่เด็กนักเรียนชาวกะเหรี่ยง
7. อาหารมื้อค่ำริมบึงฉวาก
8. พรชัย ปทุมรัตนาธาร หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก กล่าวต้อนรับ
9. ถ่ายภาพที่ระลึกริมบึงฉวากก่อนออกเดินทาง
10. ส่วนหนึ่งของนกสวยงามนานาชนิด ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก
11. รับฟังคำแนะนำจากผู้รู้
12. นั่งรถตัวหนอนชมทัศนียภาพรอบๆ บึงฉวาก
13. ใช้ GPS นำทางไม่ต้องกลัวหลง
เรื่องโดย : ณัฐเวช ยอดแสง
ภาพโดย : ชูสิทธิ์ สิทธิวรรณ
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : พิเศษ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/55922