รู้ไว้ใช่ว่า
เจอของใหญ่
เวลาขับรถไปบนถนน กฎของความปลอดภัยที่เราใช้อยู่ข้อหนึ่งคือ
"หลบของใหญ่"
อย่าไปยุ่งกับพี่เขา เดี๋ยวเจ็บ
ที่เป็นของใหญ่หรือขาใหญ่จริงๆ ก็เป็นที่รู้กันว่าพี่ท่านแล่นอยู่บนรางเหล็ก นั่นคือ "รถไฟ" แต่ทุกวันนี้ไม่ได้อาศัยฟืนไฟควันโขมงอย่างเมื่อก่อน อย่างขี้เหร่ก็ใช้เครื่องยนต์ดีเซล
แม้รถไฟจะแล่นไปตามรางที่กำหนด ไม่ปนกับใคร แต่บางจุดบางแห่ง "รางรถไฟ" ก็ไปวุ่นวายกับถนน ชวนให้รถยนต์ หรือรถอื่นๆ หวาดเสียวและรถติด
จุดที่ทางรถไฟตัดกับถนนจนกระทั่งป่านนี้ยังไม่มีเครื่องกั้นหรือแผงกั้นครบถ้วน บางแห่งรถไฟวิ่งเทิ่งๆ ผ่านถนนไปดื้อๆรถอื่นต้องระวังเอาเอง
ปัญหาเรื่องไม่มีแผงกั้นเวลารถไฟแล่นผ่านนี่เอง เป็นประเด็นถกเถียงกันว่ารถไฟประมาทด้วยหรือไม่เมื่อเกิดเหตุขึ้น เรามาดูคดีนี้แล้วจะรู้ว่าศาลท่านตัดสินอย่างไร เพื่อให้หายสงสัย
วันเกิดเหตุ "นายเนิบ" ขับรถบรรทุกของเถ้าแก่ ไปตามถนนแห่งหนึ่งถึงจุดที่มีทางรถไฟตัดผ่านถนนหรือถนนตัดผ่านทางรถไฟก็แล้วแต่นายเนิบเห็นรถไฟแล่นฉึกฉัก อยู่ห่างจากรถบรรทุกไม่กี่สิบเมตร
นายเนิบถึงแม้ว่าจะชื่อเนิบแต่ใจร้อน คิดว่าเร่งเครื่องพารถผ่านไปได้ไม่ต้องหยุดรอให้รถไฟผ่านไปก่อนให้เสียเวลา คิดแล้วก็เหยียบคันเร่งหวังให้รถทะยานไปข้างหน้า แต่รถบรรทุกไม่ใช่รถสปอร์ท จึงไปไม่พ้น รถยนต์กับรถไฟปะทะกันเบาะๆ หัวจักรดีเซลตกรางไป 2 ล้อ ได้รับความเสียหาย การรถไฟต้องเอาปั่นจั่นของตนมายกรถขึ้น เสียเวลารถติดอยู่นานสองนานจึงแก้ไขได้สำเร็จ
ทั้งสองฝ่ายไปที่โรงพัก ฝ่ายรถไฟประเมินในตอนนั้นแบบคร่าวๆ ประมาณ 5 หมื่นบาท มีการจดบันทึกไว้ด้วย แต่ตกลงกันไม่ได้ เพราะฝ่ายรถยนต์นั่นแหละเบี้ยว เดือดร้อนถึงโรงศาล การรถไฟแห่งประเทศไทยต้องตั้งตัวเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเนิบ เถ้าแก่ผู้เป็นนายจ้าง บริษัทประกันซึ่งรถบรรทุกทำประกันไว้เป็นจำเลย เรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ เป็นเงิน 112,186 บาท พร้อมดอกเบี้ย
เถ้าแก่กับบริษัทประกันสู้คดี ให้การว่า ตรงที่เกิดเหตุเป็นทางโค้งมีทางแยก การรถไฟประมาทด้วยไม่ทำแผงกั้นเวลารถไฟผ่าน ไม่มีพนักงานคอยให้สัญญาณ นายเนิบขับรถมาถึงมีต้นไม้สองข้างทางบังจึงมองไม่เห็นรางรถไฟ ขณะที่พขร. มองเห็นรถยนต์มาแต่ไม่หยุด จึงฟ้องเรียกร้องอะไรไม่ได้ รถไม่ได้ตกราง เสียหายแค่ 2,000 บาท รางรถไม่ได้เสียหาย ค่าซ่อมบำรุงไม่ได้จ่ายจริง ปั่นจั่นเป็นของการรถไฟเรียกค่าใช้จ่ายไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้จำเลยทั้งสามร่วมกันจ่ายค่าเสียหาย 7 หมื่นกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย
เรื่องน่าจะจบแต่เข้าใจว่าบริษัทประกันนักค้าความตัวยงพาเจ้าของรถตื้อ ยื่นอุทธรณ์ขึ้นไปเพื่อเอาชนะ โดยเฉพาะในประเด็นที่การรถไฟไม่มีแผงกั้นไม่มีคนคอยให้สัญญาณ ถือว่าประมาทด้วย แต่ไม่เป็นผล
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เกี่ยวกับตัวเลขค่าเสียหายที่ผิดพลาด ให้จำเลยจ่ายน้อยลงกว่าเดิม 2 บาท โธ่ถัง จำเลยที่ 2 และที่ 3 คือเถ้าแก่และบริษัทประกันยังไม่หายมันในการเป็นความ ยื่นฎีกาขึ้นไปอ้างโน่นอ้างนี่เช่นเคย
ศาลฎีกาพิจารณาคดีนี้ด้วยความเซ็งพอสมควร มันจะขี้เหนียวอะไรนักหนา แล้วตัดสินออกมาว่า
เรื่องอำนาจฟ้องเรื่องรถไฟประมาทด้วยหรือไม่ ได้ความว่าก่อนถึงทางรถไฟ มีป้ายอยู่ ๒ ป้าย คือป้ายบอกว่า "ระวังรถไฟ" และ ป้าย "หยุด" ถ้านายเนิบขับรถเนิบๆ หยุดระวังรถไฟตามที่ป้ายบอกมันก็ไม่เกิดเรื่อง
นี่ไม่เป็นยังงั้น พอเห็นรถไฟก็ทะลึ่งเร่งรถเพื่อแล่นผ่าน ฝ่าฝืนเสี่ยงภัยอย่างชัดแจ้ง ถือว่านายเนิบประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและประมาทฝ่ายเดียว รถไฟไม่ทำแผงกั้นก็ไม่ประมาท รู้ไว้ซะด้วย
ข้อที่จำเลยเถียงว่าที่โรงพักรถไฟบอกเสียหายแค่ 5 หมื่น ไหงฟ้องเอามากมาย ศาลฎีกาดูบันทึกแล้วไม่ได้บอกตายตัวว่า 5 หมื่น เป็นการประมาณระบุไว้ว่าต้องรอตรวจสอบก่อน
ข้อโต้แย้งเรื่องค่าแรงสูงกว่าค่าอะไหล่ ทำไมคิดค่าปั่นจั่นทั้งๆ ที่เป็นของการรถไฟ ศาลฎีกาบอกว่าการรถไฟแจกแจงเหตุผลฟังได้ ปั่นจั่นของการรถไฟก็จริง แต่ต้องเสียค่าขนย้ายค่าใช้จ่ายอีกนี่นา อีกอย่างการรถไฟเขามีหลักเกณฑ์ในการคิดค่าเสียหายเป็นระบบอยู่แล้ว ไม่ได้มั่วนิ่มคิดเอากับจำเลยคดีนี้รายเดียว
สรุปแล้วการรถไฟเคยแจ้งให้บริษัทประกันทราบว่าค่าเสียหายประมาณ 9 หมื่น ศาลตัดสินให้จ่าย 7 หมื่นกว่า การรถไฟไม่อุทธรณ์ฎีกาถือว่าเป็นคุณแล้วล่ะ
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน
เวลาขับรถผ่านทางรถไฟบอกตรงๆ ผมหวาดเสียว ไม่กล้าประมาท ดูแล้วดูอีกว่าชัวร์จึงแล่นผ่าน ล้อเล่นไม่ได้หรอกโยม ทีนี้คงเข้าใจแง่กฎหมายแล้วว่า ถึงแม้การรถไฟไม่ทำแผงกั้นไม่มีคนให้สัญญาณเวลารถไฟแล่นผ่านจุดตัด แต่ศาลถือว่ามีป้ายเตือนไว้แล้ว รถอื่นต้องระมัดระวังเอาเอง เหมือนอย่างที่ตัดสินไว้ในคดีนี้
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 526/2534
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/55881