รู้ไว้ใช่ว่า
แย่งซื้อรถ
"ฟอร์ด" กับ "มาซดา" กลายเป็นสองเกลอหัวแข็ง เมื่อปล่อยกระบวนท่าไม้ตายสำหรับรถกระบะเพื่อเตะสกัดรถค่ายอื่น ชิงความได้เปรียบในสมรภูมิรถพิคอัพ ซึ่งเป็นรถยอดนิยมของพี่ไทย ด้วยการซุ่มผลิตรถ
"แคบอ้า"
มีบานเปิดพิเศษข้างละ 1 บาน นอกเหนือจากประตูที่มีอยู่แล้วสองบาน
ก่อนอื่นยอมรับว่าสองเกลอหัวใสหรือหัวแข็งเขาเก่งไม่ใช่เก่งเรื่องออกแบบรถได้จ๊าบจนกระทั่งนายกทักษิณชมเปาะอย่างเดียว แต่เก่งในด้าน "ปิดความลับ"ในระหว่างผลิตรถรุ่นนี้ออกมา ไม่แย้มพรายให้ค่ายอื่นรู้เลย ถือว่าเด็ดมากไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปกปิดได้มิดชิดขนาดนี้
แต่หมัดเด็ดจะนอคคู่ต่อสู้ได้หรือไม่ ขณะที่เขียนให้ท่านอ่านผมยังไม่รู้เพราะขึ้นอยู่ที่ภาษีว่าจะเหมือนเดิมหรือขยับขึ้นไปจนต้องเพิ่มราคาอีกคันละห้าหมื่น จนกลายเป็นกระสุนด้านอย่างที่เป็นข่าว
ในฐานะนักกฎหมายขอแจมด้วยคนในเรื่องของการตีความว่า ควรเก็บภาษีเท่าเดิมหรือไม่ซึ่งผมขอฟันธงว่าน่าจะเหมือนเดิมจึงจะถูกต้อง
เหตุผล เพราะ ฟอร์ด กับ มาซดา เขาเป็นมวย ไม่ได้ทำในลักษณะประตูเปิดเข้าออกได้ตลอดเวลาเหมือนรถสี่ประตูทั่วไป แต่เป็นเสมือนฝาหรือบานเปิดจุดที่เป็นแคบขึ้นมาต่างหากซึ่งจะเปิดได้ต่อเมื่อมีการเปิดประตูตามปกติเท่านั้น ถ้าประตูปิดอยู่ก็เปิดฝานี้ไม่ได้เลย
ทำนองเดียวกับกระจกหลังเก๋ง ชนิดที่มีบานเปิดได้กับเปิดไม่ได้ ภาษีคิดเท่ากัน ฉันใดก็ฉันนั้น
หรือจะมองอีกทางหนึ่งว่า แท้ที่จริงยังเป็นรถที่เปิดประตูได้ 2 ช่อง ซ้ายขวาเช่นเดิมแต่บานประตูในแต่ละช่องแบ่งออกสองชุด ไม่ติดกันเป็นบานเดียวแต่สภาพการใช้งานไม่ได้เปิดออกได้อย่างอิสระบานใครบานมัน จึงไม่ใช่รถ 4 ประตูตามปกติ ถ้ามองในมุมนี้ก็น่าจะเสียภาษีเท่าเดิมเหมือนรถกระบะสองประตูทั่วไป
กว่าท่านจะได้อ่านเรื่องนี้จากผม รัฐคงตัดสินไปแล้วละว่า ฟอร์ด และ มาซดา ได้เปรียบคู่ปรับ 1 หรือ 2 ปีกว่าเขาจะไล่ตามทันหรือเปล่า งานนี้มีลุ้นทุกฝ่าย รวมทั้งชาวบ้านอย่างพวกเราใครก็อยากได้ของดีมีกึ๋นกว่าเดิมในราคาไม่แพงใช่ไหมตัว
การแย่งซื้อรถในคดีนี้สนุก การตัดสินของศาลฎีกาก็เจ๋งมาก เรามาดูชมกันได้เลย
ฝ่ายที่เปิดฉากหางานให้ศาลทำก่อนเพื่อนคือ "นส. พอดี" เธอยื่นฟ้อง "นายคนเก่ง" ชื่อเวอร์พอสมควรเป็นจำเลยโอดโอยต่อศาลว่า ตกลงซื้อรถยนต์มาคันหนึ่งจากนายคนเก่ง ราคาตั้ง 5 แสนบาท จ่ายเงินแล้ว รับรถมาแล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม นัดอีก 15 วัน จะนำทะเบียนมามอบให้พร้อมทำการโอน แต่นายคนเก่งเบี้ยวจึงต้องฟ้องบังคับให้นายคนเก่งโอนทะเบียนรถให้เป็นชื่อของ นส. พอดีถ้าไม่ทำตามให้ถือเอาคำตัดสินแทนการแสดงเจตนาของนายคนเก่ง หรือขัดข้องโอนไม่ได้จริงๆ ให้คืนเงิน 5 แสนพร้อมดอกเบี้ย
นายคนเก่งหายต๋อมไปเลย แสดงว่าเบี้ยวเขาจริง จึงไม่ยื่นคำให้การ ไม่โผล่หน้าไปศาล
อย่าคิดว่า นส. พอดีจะสบายชนะคดีง่ายๆ เพราะมี "นส. เหลือเฟือ" โดดเข้ามาร่วมวง ร้องสอดขอเป็นจำเลยร่วมอ้างว่า นายคนเก่งขายรถให้หนูเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ รวม 3 คัน ราคา 7 แสนบาท ในจำนวนนี้มีรถที่ นส.พอดีฟ้องร้องอยู่ด้วย นายคนเก่งมอบทะเบียนรถให้หนูแล้วทั้งหมด นัดว่าจะส่งมอบรถในภายหลัง นส.พอดีทราบเรื่องทั้งหมด เมื่อหนูไปขอโอนรถในวันที่ 19 มีนาคม เจ้าหน้าที่ขนส่งบอกว่า นส. พอดียื่นคัดค้านจึงโอนรถคันนี้มาเป็นของหนูไม่ได้ ขอให้ศาลบังคับให้นส. พอดีเพิกถอนการคัดค้าน ส่งมอบรถให้แก่หนูถ้าไม่โอนให้ถือเอาคำตัดสินแทนการแสดงเจตนา และให้จ่ายค่าเสียหายเดือนละ 8 พันบาท ถ้าขัดข้องให้ นส. พอดีร่วมกับนายคนเก่งชดใช้เงิน 4 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า นส. พอดีมีภาษีเหนือกว่า จึงตัดสินให้นายคนเก่งโอนทะเบียนรถให้นส. พอดี แล้วให้นส. เหลือเฟือถอนเรื่องขอรับโอนรถ ให้ นส. เหลือเฟือส่งมอบทะเบียนรถแก่นส. พอดี ไม่ทำตามให้ถือเอาคำตัดสินแทนการแสดงเจตนา และให้นายคนเก่งคืนเงินค่ารถให้แก่ นส. เหลือเฟือ 3 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย
นส. เหลือเฟือ ไม่พอใจคำตัดสินจึงยื่นอุทธรณ์ แต่ไม่เป็นผล
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นส. เหลือเฟือในฐานะผู้ร้องสอดไม่ย่อท้อ ยื่นฎีกาขึ้นไปเพื่อเอาชนะให้ได้
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้ด้วยความมึนพอสมควร แล้วชี้ขาดออกมาว่า
งานนี้มีประเด็นสำคัญต้องขบให้แตกคือ นส. พอดีได้การครอบครองรถโดยสุจริตหรือไม่ รู้เรื่องที่นายคนเก่ง กับนส.เหลือเฟือซื้อขายรถพิพาทมาก่อนหรือไม่ จากพยานหลักฐานในสำนวปรากฏว่า ในวันที่นายคนเก่งไปรับเงินค่ารถจาก นส. เหลือเฟือ ที่แบงค์ จำนวน 7 แสนบาท นส. พอดีไปกับนายคนเก่ง แถมนายคนเก่งยังมอบเงินนั้นให้แก่ นส. พอดีรับไป
แสดงว่า นส. พอดีรู้เรื่องการขายรถพิพาทให้แก่ นส. เหลือเฟือก่อนแล้ว เมื่อเกิดเรื่องก่อนที่จะมาฟ้องร้องกันเป็นคดีนี้มีนายตำรวจมาไกล่เกลี่ย นส. พอดีรับว่าได้เงิน 7 แสนบาทไปจริง แต่ไม่ยอมมอบรถพิพาทให้แก่ นส. เหลือเฟือนอกจากนั้นศาลฎีกายังแจงว่า ถ้า นส. พอดีไม่ทราบเรื่องที่เขาซื้อขายรถกันเหตุไฉนจึงโผล่ไปคัดค้านการโอนรถระหว่าง นส. เหลือเฟือกับนายคนเก่งได้
ศาลฎีกาจึงแทงว่า นส. พอดีรับซื้อรถรับมอบรถจากนายคนเก่งโดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยทำนองคลองธรรม นส.เหลือเฟือ มีสิทธิในรถพิพาทดีกว่า แต่ นส. เหลือเฟือไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเดือนละ 8 พันบาท จาก นส. พอดีเพราะ นส. พอดีไม่ได้ผิดสัญญาอะไร
ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับ บังคับให้ นส. พอดีส่งมอบรถให้แก่ นส. เหลือเฟือ ให้ถอนคำคัดค้านการโอนรถระหว่าง นส. เหลือเฟือกับนายคนเก่งเสีย แต่ให้นายคนเก่งคืนเงินค่ารถจำนวน 5 แสนบาทแก่ นส. พอดีพร้อมดอกเบี้ย
ดูๆ แล้ว นายคนเก่ง กับนส. พอดี นั่นแหละเล่นไม่ซื่อ หาทางซิกแซกเอาเงินจาก นส. เหลือเฟือ ยังดีที่ นส. เหลือเฟือไม่นิ่งเฉย ออกหมัดโต้ตอบจนกระทั่งศาลตัดสินให้ชนะคดี ได้รถไป ไม่เสียเงินฟรีๆ
จากคดีนี้เป็นบทเรียนสอนให้เรารู้ว่า การซื้อรถในทำนองรถมือสองต้องรอบคอบต้องได้ทั้งรถและทะเบียนจึงจ่ายเงินกรณีที่ซื้อเงินสด ไม่ใช่เข้าไฟแนนศ์ ประเภทที่ไว้ใจ ได้มาแต่รถหรือได้แต่ทะเบียนรถ คิดว่าเป็นคนกันเอง หัวทิ่มมาเยอะแล้ว
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3748/2533
คดีรถ ตีพิมพ์ใน"4wheels" ส่งไป 4 กค. 45
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2545
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/55707