ใส่สีใส่สัน
ตำนานแสนสั้น
ความเป็นดาราภาพยนตร์อย่าง เจมส์ ดีน ผมยังเชื่อว่าไม่เพียงแต่ผมคนเดียวเท่านั้นชื่นชมและบูชาเขายังคงเป็นเทพบุตร หรือ ไอดอลทางภาพยนตร์ ให้แก่แฟนภาพยนตร์ทั้งโลกใบนี้อย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น
ผมจำบทบาทของเขาได้เป็นอย่างดีจากหนังใหญ่เรื่อง "เจ้าแผ่นดิน" (GIANT) ซึ่งเข้าฉายที่โรงหนังศาลาเฉลิมไทย ถนนราชดำเนินกลาง ส่วนภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในชีวิตของเขา คือ REBEL WITHOUT A CAUSE ในปี 1955 หรือเมื่อ 52 ปีมาแล้ว
ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่จำได้ เข้าฉายที่โรงหนังกรุงเกษม ย่านหัวลำโพง เลยจากโรงหนังเฉลิมเขตร์ ที่เชิงสะพานกษัตริย์ศึกไปอีกไม่ไกลนัก
ผู้คนที่เป็นแฟนหนังในเมืองไทยสมัยนั้น มักจดจำชื่อผู้กำกับการแสดงได้เป็นอย่างดี เพราะชื่อเสียงของผู้กำกับการแสดงแต่ละคนบ่งบอกถึงที่มาและที่ไปของหนังเรื่องนั้นๆ
ถ้าเป็น จอห์น ฟอร์ด ก็เชื่อกินขนมฟรีได้เลยว่า ต้องเป็นหนังประเภท ปีนบันไดดู แต่ถ้าหากว่าเป็นนายจอห์น เหมือนกัน แต่เป็น จอห์น สเตอร์เจส ละก็ เรื่องไหนก็เรื่องนั้น ต้องได้ยิงภูเขา-เผากระท่อมแน่นอน
เจ ลี ธอมพ์สัน ก็คือ บู๊ เหมือนกับการเอ่ยชื่อผู้กำกับอย่าง เฮนรี แฮธอเวย์ ย่อมออกคลาสสิคซับซ้อนแต่น่าดู หรือผู้กำกับอย่าง อัลเฟรด ฮิทช์คอค ก็ตื่นเต้นเขย่าขวัญ
แต่สำหรับ เอเลีย คาซาน ดูเหมือนจะมีคำๆ เดียว "กล่อง" หนังทุกเรื่องของเขาได้กล่องไม่ได้เงิน ไม่ว่าชื่อเรื่องจะชวนให้คิดเป็นอื่นไปอย่างไรก็ตาม
REBEL WITHOUT A CAUSE เรื่องนี้ก็เหมือนกัน กำกับการแสดงโดย นิโคลาส เรย์ น่าจะเพี้ยนอย่างหนักตามแบบฉบับของนักแสดงอย่าง เจมส์ ดีน เพี้ยนถึงขนาด เจมส์ ดีน ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทางรถยนต์ เมื่อวันที่ 30 กันยายน ปี 1955
เจมส์ ดีน รับบทบาทเป็นลูกชายของชาวไร่ เป็นลูกชายที่มีปัญหามากมายในหนังของ เอเลีย คาซานเรื่อง EAST OF EDEN ผู้สร้างลงความเห็นว่านักแสดงอย่าง เจมส์ ดีน ควรเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ในแผ่นดินอเมริกา ท่าทางของ เจมส์ ดีน ตลอดจนเค้าหน้าตาของเขา เหมือนๆ กับพระเอกอมตะอย่างมาร์ลอน บแรนโด และ มอนท์โกเมอรี คลิฟท์
หนังประเภทวัยรุ่นเจ้าปัญหานั้น ฮอลลีวูดมีมากมายและเป็นระยะๆ
ตำนานของ เจมส์ ดีน มีอายุแค่ 24 ปี นั่นหมายถึง 24 ฝน และ 24 หนาว โดยเปลืองชีวิตให้กับการแสดงหนังเพียง 4 ปี
เอเลีย คาซาน เป็นผู้กำกับที่มองเห็นกึ๋นที่แท้ของนักแสดงอายุสั้นรายนี้ เมื่อเขาทำหนังเรื่อง EAST OF EDEN จากหนังสือที่ผมอ่านไม่รู้เรื่อง โดยการประพันธ์ของ จอห์น ชไตน์เบค ซึ่งเป็นหนังสือขายดี
เจมส์ ดีน เป็นคนน่ารักในสายตาของแฟนหนัง แม้ในบทภาพยนตร์ เจมส์ ดีน จะไม่ใช่คนดีในท้องเรื่องบนความแข็งกร้าวและท่าทีอันเป็นกบฏ เขากลับแฝงด้วยความอ่อนโยนและเรียกความเห็นใจจากคนดูหนังได้อย่างน่ามหัศจรรย์
เขาอาจเป็นคนขวางโลกทั้งใบ อาจโดดเดี่ยวเมื่ออารมณ์ของเขาปะทุขึ้นเดือดพล่านในจอภาพยนตร์แต่เขาก็ยังมีความอบอุ่น กลายเป็นคนลึกซึ้ง มีเลือดเนื้อ และวิญญาณ
ด้วยคาแรคเตอร์นี้เอง เจมส์ ดีน จึงก้าวเข้ามาในความพิมพ์ใจของแฟนหนัง อีก 2 คนที่เป็นนักแสดงในความทรงจำของผม ที่ร่วมแสดงในเรื่อง REBEL WITHOUT A CAUSE ด้วย คือ ซัล มิเนโอ และนาตาลี วูด แต่ผู้ขโมยซีนไปทั้งหมดกลับเป็น เจมส์ ดีน ในบทของ จิม
ดูเหมือนเรื่องที่ชวนปวดหัวจะเริ่มจากโรงพัก เมื่อ จิม ถูกจับข้อหาเมาสุรา อันเป็นเหตุให้เขามาพบกับ นาตาลี วูด ในบทของ จูดี ที่ถูกจับมาด้วยข้อหาหนีออกจากบ้านมาเที่ยวกลางคืน
คนที่ 3 คือ ซัล มิเนโอ เขาเป็นนักแสดงอีกคนที่หน้าตาดี อ่อนหวาน แต่มารับบทเป็น พเลโต ถูกจับมาโรงพักก็เพราะมีพฤติกรรมรุนแรงแบบวัยรุ่นทั่วไป ทั้งๆ ที่เขามาจากตระกูลที่ร่ำรวย
"ไม่มีใครช่วยผมได้หรอก" เป็นคำที่กระด้างที่สุดของเด็กหนุ่มผู้มาจากครอบครัวที่มั่งมี ไร้ปัญหาทางด้านการเงิน
เป็นวาทะเชยๆ แต่เป็นคำพูดที่เป็นความจริง และมักเป็นเหยื่อให้กับคนที่ร่ำรวยแล้วมีปัญหาอย่างเหนือความคาดหมาย
จะเป็นความบังเอิญ หรือความต้องการของผู้เขียนก็ไม่ทราบ แต่เด็กทั้ง 3 คน ได้เข้ามาเรียนในที่เดียวกันอีก
จากโรงพัก มาสู่โรงเรียน หนังถูกแบ่งตอนออกไปเป็น 5 แพทเทิร์น ในแต่ละแพทเทิร์นแฝงด้วยลักษณะเดียวกันทั้งหมด คือ ความเป็นเรื่องโศกเศร้า บีบคั้น กดดัน ความต้องการแสดงออกให้เห็นความบ้าบิ่นแม้ขับรถเร็วตรงไปยังหน้าผา และต้องดีดตัวเองออกจากรถ ก่อนที่รถจะตกหน้าผาไปยังทะเลข้างล่าง
ใช่ ! บทบาทแบบนี้ไม่ดูก็ทายออกว่าพระเอกต้องรอด แต่ผู้ร้ายหรือตัวเลวร้ายของเรื่อง ต้องมีอันจบชีวิต และมันก็เป็นเช่นนั้น เมื่ออีกคนแขนเสื้อบังเอิญไปเกี่ยวกับประตูรถ
ผมชอบใจ นิโคลาส เรย์ ในขณะเดียวกันก็สะใจสมน้ำหน้าที่เขาเลือกเอา เจมส์ ดีน มาเป็นพระเอกของเรื่อง และเชื่อว่า นิโคลาส เรย์ ก็ต้องรู้ว่า บทถนัดของ เจมส์ ดีน ต้องเป็นลักษณะไหน เขาพยายามดำเนินเรื่องอย่างกระชับ รักษาความเข้มข้น และใช้พจนานุกรมของหนังด้วยภาษาที่งดงาม รวมถึงการเดินกล้อง การจัดองค์ประกอบของแต่ละภาพ
ถ้าจะพูดว่า นิโคลาส เรย์ มองเห็น เจมส์ ดีน เช่นเดียวกับที่ผู้กำกับ เอเลีย คาซาน มองเห็น ก็คงเป็นคำพูดที่ไม่เพี้ยนตรงไหน
ปี 1955 เจมส์ ดีนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ 2 ครั้ง จาก EAST OF EDEN และ GIANT
เรื่องโดย : จอสยาม
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ใส่สีใส่สัน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/55399