ใส่สีใส่สัน
สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด
ชีวิตของผมที่เกี่ยวกับภาพยนตร์นั้น ใฝ่ฝันถึงภาพยนตร์การ์ตูนมานานปีดีดัก เนื่องจากได้รับ
แรงบันดาลใจจากการ์ตูนของฮอลลีวูด ต้องการสร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากประเทศไทยไป
ทั่วโลกสักเรื่องหนึ่ง
และผมก็เคยฝันถึงบทประพันธ์ที่ผมอยากนำเสนอในรูปแบบของการ์ตูน คือ บทประพันธ์เรื่องสั้น
ของ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เรื่อง "มอม" เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหมาไทยที่ชื่อมอม ประทับใจผมมาก
และสร้างจินตนาการไว้มาก แต่ก็ไม่ได้สร้างจนบัดนี้
ผมเชื่อว่า "มอม" เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกไม่ว่าเชื้อชาติใดภาษาใดย่อมชมได้อย่างเข้าถึงและเข้าใจ
มากกว่าจะสร้างเป็น "สังข์ทอง" หรือ "คาวี"
นั่นเป็นความฝันของผม แต่วันนี้ผมอยากพูดถึงภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องแรกของวอลท์ดิสนีย์
ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม เมื่อ 70 ปีมาแล้ว เรื่องนั้นคือ "สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด"
เปิดฉายเป็นรอบปฐมทัศน์ที่ คาเธย์ เซอร์เคิล ในลอสแองเจลิส (แอลเอ) ท่ามกลางความระทึกของ
วอลท์ดิสนีย์
"สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด" เป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกของโลก ไม่มีเซียน
ภาพยนตร์คนใดสามารถมองอนาคตได้ว่าจะได้รับความสำเร็จหรือขาดทุน
งานที่ออกมากลับพลิกโลกทั้งโลก ความสำเร็จไม่ได้หยุดไว้แค่แอลเอ หากแต่มันยังก้องโลกและ
เดินทางไปให้ความสุขกับคนทุกซีกโลก ไม่ว่าใกล้หรือไกลฮอลลีวูด และทุกๆ 7 ปีพวกเขาก็จะนำ
ภาพยนตร์การ์ตูนวิเศษเรื่องนี้ออกฉายซ้ำ เป็นผลให้คนแต่ละรุ่นต่างพูดถึงอย่างมีความสุข
ไม่มีรสชาติของความเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย
วอลท์ดิสนีย์ เริ่มเข้ามาสู่วงการภาพยนตร์ของฮอลลีวูดเมื่อปี 1923 สิบสี่ปีก่อนหน้า "สโนว์ไวท์"
จะถูกนำออกฉายรอบปฐมทัศน์
ณ เวลานั้น วอลท์ดิสนีย์ อายุเพียง 22 ปี เขาเริ่มต้นมาจากการเป็นนักเขียนการ์ตูน และรับจ้างทำ
หนังการ์ตูน กว่าจะตั้งเป็นบริษัทสร้างภาพยนตร์การ์ตูนของตัวเองสำเร็จ ผลงานที่สร้างชื่อให้กับ
วอลท์ดิสนีย์ก็มีตัวละครเอก มิคกีเมาส์ เป็นพระเอกตลอดกาล
"สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด" มาจากนิทานเอกของพี่น้องตระกูลกริมม์ ความคิดของวอลท์ดิสนีย์
ตรงกันกับจินตนาการของผมด้านหนึ่ง คือ ต้องการสร้างเรื่องไม่เป็นเรื่องให้กลายเป็นเรื่องยาว
และเขาก็พบว่า หนึ่งในนิทานของพี่น้องตระกูลกริมม์ ที่น่าจะถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์
การ์ตูนดีที่สุดคือ "SNOW WHITE AND THE SEVEN DWARFS" นั่นเอง
นอกจากไฟแห่งความรักที่วอลท์ดิสนีย์มีให้กับการสร้างภาพยนตร์การ์ตูน เขายังดวงเฮงได้รับการ
ช่วยเหลือจากบรรดาคนที่ทรงคุณวุฒิหลายด้าน ตั้งแต่การดัดแปลงเรื่องราวมาสู่บทภาพยนตร์
รายละเอียดในความคิดเริ่มจากการเปลี่ยนชื่อคนแคระทั้งเจ็ด ให้มีชื่อเรียกไปตามบุคลิกของแต่ละคน
เช่น พี่คนโตชื่อ ดอค น้องคนสุดท้องขี้เล่นชื่อ ดูพีย์ เป็นต้น
การวางเรื่องราวดูจะเน้นความรักและความน่าสงสารของสโนว์ไวท์เป็นพิเศษ ทำอย่างไรเพื่อให้
สาวน้อยเป็นที่รักของคนดูภาพยนตร์
สโนว์ไวท์จะต้องอยู่ร่วมกับคนแคระทั้งเจ็ด ซึ่งคนแคระทั้งเจ็ดก็รักเธอ เป็นห่วงเธออย่างที่สุด
แม้จะมีการวางเรื่องราวให้ หนึ่งในเจ็ดคนแคระ คือ กรัมพีย์ แสดงความไม่พึงพอใจนางเอกอย่าง
ออกนอกหน้า เขาก็ยังแอบห่วงและแสดงความเสียใจอย่างสุดๆ เมื่อสโนว์ไวท์ประสบ
เคราะห์กรรม
"สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด" นอกจากจะเป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกของวอลท์ดิสนีย์
แล้ว ยังจัดว่าเป็นภาพยนตร์เพลงเรื่องแรกของเขาอีกต่างหาก นับเป็นการวางแผนร่วมกันได้อย่าง
ลงตัว แม้เพียงฉากการทำความสะอาดบ้านคนแคระของสาวน้อยสโนว์ไวท์กับสัตว์ในป่า ก็ยังถูก
กำหนดเสริมความสุขให้กับผู้ชมภาพยนตร์ ด้วยการเลือกเพลงมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ กับเพลง
"WHISTLE WHILE YOU WORK" ตามมาด้วยการเปิดตัวคนแคระทั้งเจ็ดด้วยเพลง
"DIG, DIG, DIG" จบลงด้วย "HEIGH HO" อันเป็นบทเพลงที่คนแคระทั้งเจ็ดร่วมกันประสาน
เสียงร้อง ขณะเดินกลับบ้านจากเหมืองเพชร นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเพลงที่ได้รับความสนใจ
ทั้งเพลง SOME DAY MY PRINCE WILL COME และเพลง WITH A SMILE AND A SONG
ดูเหมือนการให้ความสำคัญต่อรายละเอียดของภาพยนตร์ คือ หัวใจแห่งความสำเร็จในสูตรของ
การสร้างความบันเทิงผ่านจอภาพยนตร์
"สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด" ก็เช่นกัน แม้แต่การวางลักษณะคนแคระก็เป็นรายละเอียด
ที่ละเอียดยิบ เป็นต้นว่า ถ้า ดอค พี่ชายคนโตพูดอะไรออกมา ทุกคนจะต้องไม่หันมามองพร้อมกัน
แต่จะให้ แฮพพี เป็นคนแรก เพราะเขาเป็นคนแคระที่มีอารมณ์ดีตลอด จนถึงคนสุดท้ายคือ สลีพีย์
ซึ่งลักษณะของเขาเป็นตัวเฉื่อยชา
พวกเขาเสียเวลากับภาพยนตร์เรื่องนี้นานถึง 4 ปี ใช้อัตรากำลังคนมากกว่า 750 คน มีการ
ประมาณกันว่าพวกเขาต้องเขียนภาพมากถึง 1 ล้านภาพเขียน ดนตรีประกอบต้องใช้
นักดนตรีถึง 80 คน
เคยมีคำวิจารณ์เกี่ยวกับความไม่เหมาะสมในฉากพระราชินีกลายร่างเป็นแม่มด ดูภาพน่า
หวาดกลัวเกินกว่าเด็กๆ จะรับได้ คำวิจารณ์นี้เป็นคำถามที่ถามกันต่อๆ ไปโดยไม่มีคำตอบ
ที่ชัดเจน แต่ที่ชัดเจนมากกว่าคำตอบในเรื่องนั้นก็คือ ความตั้งใจของวอลท์ดิสนีย์ที่ใช้ศิลปะ
เล่นกับอารมณ์ของผู้ดูภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนหรือผู้ใหญ่ และเขาก็รับเต็มๆ ในการ
แจกจ่ายความสุขให้กับคนนับล้านๆ คนทั่วโลก
อีก 29 ปีหลังจากนั้น ราชาการ์ตูนแห่งฮอลลีวูด-วอลท์ดิสนีย์ ก็ถึงแก่กรรม ไม่น่าเชื่อครับ
เขาสิ้นลมนานถึง 41 ปีแล้ว แต่โลกยังกระหึ่มด้วยชื่อเสียงของเขาแบบไม่มีวันตาย...!!
เรื่องโดย : จอสยาม
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ใส่สีใส่สัน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/55256