พิเศษ(cso)
ทุกส่วนในระบบเสียง
ฉบับนี้ ทีมงานมีเรื่องราวเกี่ยวกับระบบเครื่องเสียงมาฝากกัน เน้นทำความรู้จักทั้งประเภท และประสิทธิภาพของอุปกรณ์แต่ละชิ้น ว่ามีความสำคัญต่อระบบเสียงอย่างไร ? ซึ่งบางชิ้นอาจไม่ต้องใช้ในบางระบบ ทั้งนี้เน้นการใช้งานจริง แบบคุ้มค่าคุ้มราคากัน
ฟรอนท์เอนด์
หลายๆ คนชอบถามว่า จะเลือกฟรอนท์เอนด์แบบไหน ? ยี่ห้อไหนดี ? จริงๆ แล้วเทคโนโลยีด้านฟรอนท์เอนด์เรียกว่าเกือบจะถึงขีดสุดแล้ว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องยี่ห้อ แต่ควรจะเลือกให้ตรงกับความชอบมากกว่า ถ้าคุณชอบเล่นเทป ก็เลือกวิทยุ/เทป ถ้าชอบซีดีก็เลือกวิทยุ/ซีดีถ้าชอบทั้ง 2 อย่างก็เลือกแบบ 2 DIN ที่เล่นได้ครบ
เทรนด์ตอนนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ คนที่ชอบฟังเพลง จะเน้นที่วิทยุ/ซีดีที่เล่น MP3 ได้ด้วยส่วนคนชอบหนังก็จะเลือกวิทยุ/วีซีดี หรือดีวีดี ซึ่งต้องเพิ่มในส่วนของจอภาพขึ้นมาด้วยสิ่งที่ต้องรู้คือ ฟรอนท์เอนด์รุ่นนั้นเล่นอะไรได้บ้าง มีกำลังขับในตัวหรือเปล่า มีพรีเอาท์
กี่แชนแนล กำลังขับมีความสำคัญสำหรับคนที่ต้องการเล่นแบบไฮเพาเวอร์ คือไม่ต่อแอมพ์ส่วนพรีเอาท์เป็นช่องต่อสัญญาณสำหรับระบบที่ต่อแอมพ์
ฟรอนท์มักไม่มีปัญหาด้านการติดตั้ง ด้วยขนาดที่เป็น 1 DIN มาตรฐาน จะลงได้ที่ช่องเดิมของรถเกือบทุกรุ่น ส่วนแบบ 2 DIN ต้องดูให้ดีว่าช่องเดิมเป็นขนาด 2 DIN หรือเปล่าสำหรับเรื่องรูปร่างหน้าตา ชอบแบบไหนไม่มีข้อจำกัด ขึ้นอยู่กับงบประมาณ
พรีแอมพ์/อีคิว
จัดเป็นอุปกรณ์เพิ่มเติมที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะนักเล่นที่ชอบปรับแต่งเสียง ใช้ได้เฉพาะกับระบบที่มีเพาเวอร์แอมพ์เท่านั้น สิ่งที่ควรรู้คือ ชุดพาราเมทริค โดยทั่วไปจะมีให้ 4 แบนด์คือ เสียงเบสส์/มิดเบสส์/กลาง/แหลม ถ้ามีมากกว่าก็จะยิ่งดี ปรับได้ละเอียดขึ้น เกือบทุกค่ายจะเพิ่มครอสส์โอเวอร์ และปุ่มปรับเสียงเบสส์มาให้ด้วย ก็จัดว่าเป็นข้อได้เปรียบทีเดียวยิ่งลูกเล่นมาก ราคาก็สูงตาม
ถัดมาเป็นอีควอไลเซอร์ ปัจจุบันไม่ค่อยมีให้เห็นกัน เพราะนักเล่นเน้นสัญญาณบริสุทธิ์มากกว่าการปรับแต่งเสียง แต่ในระบบใหญ่ๆ จะช่วยให้ปรับแต่งเสียงได้ละเอียดลงตัวมากขึ้นทีเดียวที่เคยเห็นจะมีตั้งแต่ 10-30 แบนด์ ส่วนมากจะปรับตายตัว และติดตั้งไว้กับแอมพ์ด้านท้ายรถซึ่งสามารถกลับไปปรับแต่งได้ ควรให้ผู้ชำนาญปรับแต่งเสียง
ครอสส์โอเวอร์
เป็นตัวตัดสัญญาณ ใช้เฉพาะกับระบบที่มีเพาเวอร์แอมพ์ มีให้เลือกทั้งแบบ 2/3 ทาง ช่วยให้เลือกจุดตัดได้เป็นช่วงกว้างตามต้องการ โดยเฉพาะลำโพงแบบยูนิท ซึ่งหากเลือกจุดตัดได้เหมาะสมกับสภาพอคูสติคในรถ และประสิทธิภาพลำโพง ก็จะได้เสียงที่ราบรื่นมากขึ้น ปัจจุบันเพาเวอร์แอมพ์ และพรีแอมพ์มีครอสส์โอเวอร์ในตัว ทำให้ครอสส์โอเวอร์ลดความนิยมลงจะมีให้เห็นก็เฉพาะกับระบบใหญ่ๆ หรือเพื่อแข่งขัน การติดตั้งครอสส์โอเวอร์ก็จะอยู่ใกล้ๆกับอีควอไลเซอร์ ด้านท้ายรถ ควรให้ช่างผู้ชำนาญปรับจุดตัดให้
เพาเวอร์แอมพ์
สำหรับนักเล่นที่ฟังไฮเพาเวอร์จนถึงจุดอิ่มตัว เพาเวอร์แอมพ์จะเข้ามามีบทบาททันที สังเกตได้จากการเพิ่มวอลูมมากๆ ในระบบไฮเพาเวอร์ เสียงจะผิดเพื้ยนไม่ได้ดังใจ นั่นเป็นเพราะกำลังขับไม่เพียงพอ สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับเพาเวอร์แอมพ์ คือ ประเภท และกำลังขับ ประเภทคือจำนวนแชนแนล มีให้เลือกทั้ง 1/2/3/4/5/6/7 แชนแนล ที่นิยมจะเป็น 2 และ 4 แชนแนลจะมีผลต่อจำนวนของลำโพง เช่น แอมพ์ 2 แชนแนล เหมาะกับลำโพง 1 คู่ หรือ 2 ข้าง
ส่วนกำลังขับให้ดูกำลังขับต่อแชนแนลแบบต่อเนื่อง (RMS: ROOT MEAN SQUARE) เช่น แอมพ์ 4 แชนแนล 50 วัตต์/แชนแนล หรือ 50 วัตต์x4 แชนแนล ตัวเลขวัตต์ควรให้ตรงกับชุดลำโพงที่ขับ เช่น ลำโพง 150 วัตต์ 1 คู่ ควรใช้แอมพ์ 50-80 วัตต์x2 แชนแนล
(วัตต์รวม 100-160 วัตต์) ไม่ควรนำตัวเลขสูงสุด (PEAK, MAX) มาเป็นตัวเลือก
ที่ยากขึ้นมาอีกขั้น เป็นการเลือกแอมพ์ขับซับวูเฟอร์ ถ้าเป็นแอมพ์ทั่วไป ให้ดูกำลังขับต่อเนื่องว่าเพียงพอหรือเปล่า เช่น แอมพ์ 150 วัตต์x2 ขับซับวูเฟอร์ 150 วัตต์ 1 คู่ได้ แต่ถ้าไม่พอให้ดูกำลังขับบริดจ์โมโน เช่น แอมพ์ 50 วัตต์x2 บริดจ์โมโนได้ 150 วัตต์ สามารถบริดจ์โมโนขับซับวูเฟอร์ 150 วัตต์ ได้ 1 ข้าง แต่ถ้าเป็นแอมพ์ขับซับโดยเฉพาะ เช่น CLASS D จะเป็นแบบ MONO BLOCK คือแชนแนลเดียว ดูแค่กำลังขับอย่างเดียว เช่น แอมพ์ CLASS D 500 วัตต์ ขับซับวูเฟอร์ 500 วัตต์ ได้ 1 ข้าง ที่สำคัญต้องดูที่ความต้านทานเท่ากันด้วย
ปิดท้ายด้วยแอมพ์มัลทิแชนแนล ใช้เรียกแอมพ์ 5 แชนแนลขึ้นไป แอมพ์ประเภทนี้จะออกแบบมาให้ขับได้ทั้งระบบ เช่น 50 วัตต์x4+250 วัตต์ ขับลำโพง 100 วัตต์ ได้ 2 คู่ และซับวูเฟอร์ 250 วัตต์ 1 ข้าง ข้อดีคือ ไม่ยุ่งยากทั้งการเซทระบบ พื้นที่การติดตั้ง การปรับแต่งเสียงอีกทั้งนำมาขับระบบ 5.1 CH ได้ เพื่อดูหนังเต็มรูปแบบ
ลำโพง
คุณสามารถเปลี่ยนลำโพงได้ทันทีที่ต้องการ เพื่อให้เสียงดีขึ้น โดยต้องคำนึงถึงตัวเลขวัตต์เครื่องเสียงติดรถมา ในบางครั้งเสียงไม่ถูกใจ อาจเป็นเพราะลำโพงมีขนาดเล็ก อยู่ในมุมอับเสียงเบสส์ออกน้อย หรือแหลมเกินไป สามารถแก้ไขขั้นต้นได้โดยการเปลี่ยนลำโพงคู่หน้าซึ่งฟรอนท์เอนด์จะมีกำลังขับเพียงพอที่จะขับได้แบบฟังสบายอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงเป็นตำแหน่งติดตั้งมากกว่า สิ่งที่ควรรู้คือ ขนาด และตัวเลขวัตต์ หรือทนกำลังขับ ขนาดก็คือ เส้นผ่าศูนย์กลางของตัวลำโพงดอกใหญ่ ส่วนตัวเลขวัตต์ให้ดูที่วัตต์ต่อเนื่อง หรือปกติ (CONTINUE, NORMAL)
ลำโพงแยกชิ้น (COMPONENT) 2 ทาง จัดเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมที่สุด มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 4"-8" ขนาดพอเหมาะจะเป็น 5"/5 1/4"/6"/6 1/2" ส่วนทวีเตอร์ขนาด 3/4"-1 1/2" โดยจะมีตัวพาสสีฟ ครอสส์โอเวอร์ตัดเสียงมาในเซทเดียวกัน ซึ่งจะมีแมนวล
ในการต่อสายมาให้ครบชุด ถัดมาเป็นลำโพงแกนร่วม (COAXIAL) ให้ความสะดวกในการติดตั้ง ราคาไม่สูงมาก มีให้เลือกทั้งแบบดอกกลม 4"-8" และรูปไข่ 5"x7"/6"x9" ที่ได้รับความนิยมมี 5"/6"/6"x9" ยิ่งพื้นที่กรวยมากก็ให้เสียงเบสส์ได้ลึก ลำโพง 6"x9" จึงได้รับความนิยมติดเป็นคู่หลัง สำหรับนักเล่นที่ไม่ต้องการติดซับวูเฟอร์
ซับวูเฟอร์ เป็นลำโพงดอกใหญ่สำหรับเสียงเบสส์โดยเฉพาะ มีให้เลือกตั้งแต่ 6"/8"/10"/12"/15" รวมถึงแบบ 4 และ 6 เหลี่ยม ทั้งแบบพร้อมตู้ กับมีแอมพ์ในตัว นักเล่นมือใหม่หลายคนถามว่าจำเป็นหรือเปล่า ? ถ้าคุณไม่ฟังเสียงเบสส์ลึกๆ หรือฟังดัง วูเฟอร์ 6" ก็เอาอยู่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมมากกว่า ที่สำคัญต้องหาที่ให้มันอยู่ ยิ่งถ้าเป็นตู้ก็จะดี
สิ่งที่ควรรู้เป็นขนาด ตัวเลขวัตต์ และพื้นที่ติดตั้ง บางคนซื้อซับ 12" มา 1 คู่ ไม่รู้จะติดตรงไหนความสามารถพิเศษของซับวูเฟอร์ คือ สามารถต่อเล่นได้ที่ความต้านทานโอห์มต่างๆ กันเพื่อเค้นพลังเสียงเบสส์ อีกอย่างที่สำคัญ เป็นจุดตัดความถี่โลว์พาสส์ เพื่อให้มันทำงานในช่วงเสียงเบสส์ลึกๆ โดยเฉพาะ และต้องสัมพันธ์กับลำโพงวูเฟอร์ด้วย เช่น ตัดความถี่โลว์พาสส์ซับวูเฟอร์ที่ 250 HZ ควรตัดไฮพาสส์ที่วูเฟอร์ 250 วัตต์ เช่นกัน
อุปกรณ์เสริม
ปิดท้ายด้วยอุปกรณ์ต่างๆ เริ่มจาก สายพรี หรือสาย RCA ใช้ต่อสัญญาณโลว์เลเวลร่วมกันระหว่าง ฟรอนท์ พรีแอมพ์ อีคิว ครอสส์โอเวอร์ และเพาเวอร์แอมพ์ ควรดูความยาวระหว่างอุปกรณ์ที่จะเชื่อมต่อ สิ่งที่ควรรู้ หากขั้วแจคหลวมเสียงจะขาดๆ หายๆ หรือหายไปเลย
สายลำโพง ใช้ต่อจากฟรอนท์ไปยังลำโพง หรือจากแอมพ์ไปลำโพง เลือกสายให้ยาวพอดีสิ่งที่ควรรู้คือ ขั้วบวก/ลบอย่าให้สลับกัน ถ้าเป็นสายธรรมดา ประมาณ 1-2 ปี จะเกิดสนิมทองแดง สัญญาณก็จะไม่ค่อยสะอาด และควรตรวจเชคขั้วต่อสายให้แน่นอยู่เสมอ
สายไฟ ส่วนมากเป็นสีแดง คือ สายที่เดินจากแบทเตอรีมายังขั้วไฟบวกของเครื่องเสียงโดยเฉพาะแอมพ์ สิ่งที่ควรรู้ คือ ต้องมีฟิวส์ห่างจากแบทเตอรีไม่เกิน 18" และระวังจุดที่อาจชอทตัวถัง ควรวางให้ห่างจากสายสัญญาณ ส่วนสายกราวน์ด ส่วนมากเป็นสีดำ คือ สายที่เดินจากขั้วลบของเครื่องเสียงไปยังตัวถัง สิ่งที่ควรรู้คือ ควรมีขนาดเท่ากับสายไฟ และหน้าสัมผัสตัวถังต้องแนบสนิท แน่นหนา สายรีโมทจะเป็นตัวเปิด/ปิดเครื่องจากฟรอนท์เอนด์ควรมีขนาดเท่ากับสายรีโมทของฟรอนท์เอนด์
คาพาซิเตอร์ เป็นตัวเก็บประจุไฟ มีหน่วยเป็น ฟารัด ช่วยให้แรงดันไฟคงที่ ใช้เสริมกับระบบขนาดใหญ่ แอมพ์วัตต์สูงๆ หรือจำนวนแอมพ์รวมสูงเทียบเท่าแบทเตอรีรถยนต์ ทำให้เกิดอาการคลิพเมื่ออัดเล่นนานๆ ส่วนมากจะสำรองให้กับแอมพ์ขับซับวูเฟอร์
สำหรับกระบอกฟิวส์ จะมีความสำคัญกับระบบใหญ่ๆ ที่มีการแบ่งไฟไปให้อุปกรณ์หลายตัวทำให้ควบคุมได้ง่าย และปลอดภัย และเมื่อเกิดการลัดวงจร ก็จะตัดเฉพาะจุด สะดวกต่อการตรวจเชค เรื่องของระบบไฟทั้งหมดควรให้ผู้ชำนาญติดตั้ง
แผ่นแดมพ์เสียง เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ปิดกับโครงสร้างตัวถังรถ ในส่วนที่ไม่ต้องการให้มีเสียงกวนจากภายนอก หรือมีเสียงก้องเมื่ออัดเล่นดังๆ ส่วนมากจะติดที่แผงประตู และฝากระโปรงหลัง
คราวนี้แฟนๆ ประเภทนักเล่นมือใหม่ คงจะเริ่มรู้จักกับส่วนต่างๆ ในระบบเสียงกันบ้าง อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่ระบบเสียงที่ใหญ่ซับซ้อน แต่เป็นคุณภาพเสียงที่ออกมา เมื่อใดที่คุณเปิดเพลง แล้วรู้สึกว่าไพเราะมีอรรถรส นั่นแสดงว่า เริ่มประสบความสำเร็จแล้วครับ
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : พิเศษ(cso)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/54912