ใส่สีใส่สัน
ต้มยำกุ้ง
หลังจากค้นหาพระพุทธรูปองค์บากจนได้รับความสำเร็จ และเป็นที่รู้จักในนามนานาประเทศว่า TONY JA ทั่วทั้งยุโรปและอเมริกา จา-พนม ยีรัมย์ ก็รับภาระหน้าที่ครั้งใหม่ ติดตามหาช้างไทย 2 เชือกในภาพยนตร์ตอนใหม่ของสหมงคลฟิล์ม "ต้มยำกุ้ง"
ในรูปแบบภาพยนตร์ "ต้มยำกุ้ง" มีความบันเทิงเริงรมย์เต็มร้อย อีกทั้งแนวการต่อสู้ตามแบบฉบับของ จา พนม ก็ยังรักษาความมันเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง น่าเชื่อว่าสายตาชาวโลกที่ได้สัมผัสเรื่องนี้ก็คงได้ในสิ่งที่ต้องการ
ปรัชญา ปิ่นแก้ว จะยังสร้างมิติใหม่ๆ ให้กับ จา พนม ได้อีกกี่เรื่องนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ "ต้มยำกุ้ง" อย่างน้อยที่สุดก็สร้างชื่อเสียงให้กับวงการภาพยนตร์จากประเทศไทย ขึ้นสู่ระดับอินเตอร์เนชันแนล
จา พนม รับบทลูกชายพ่อผู้ถนัดในเรื่อง จัตุลังคบาท ผู้พิทักษ์เท้ากุญชร หรือเจ้ากรมพระตำรวจหลวงประจำ 4 เท้าช้างทรงของพระมหากษัตริย์ หรือพระมหาอุปราชในเวลาทำสงครามบนหลังช้าง
ช้างที่ จา พนม เลี้ยงดูและคลุกคลีมากับช้างน้อยลูกของมันต้องถูกโจรกรรมอย่างแยบยลจากกลุ่มมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลในออสเตรเลีย
พ่อของ จา พนม เสียชีวิตไปต่อหน้า เขาต้องรับภาระติดตามหาช้างทั้งสองเชือก เดินทางออกนอกประเทศไทยไปถึงแดนจิงโจ้ ได้พบกับ หม่ำ จ๊กม๊ก ผู้แสดงเป็น จ่ามาร์ค-ตำรวจออสเตรเลียเชื้อสายไทย ที่คอยให้ความช่วยเหลือในการติดตามช้างของพระเอกจนเป็นผลสำเร็จ
ภาพยนตร์เดินเรื่องด้วย จา พนม และบทการต่อสู้ที่ผู้ดูคาดเดาไม่ได้ เว้นแต่บทสรุปของความเป็นภาพยนตร์ในข้อที่ว่า ผู้ร้ายต้องตายแต่พระเอกต้องไม่ตายก่อนจบเรื่อง
"ต้มยำกุ้ง" เข้ามาเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้โดยรับบทเป็นร้านอาหารไทย มีเบื้องหลังเป็นสถานที่ลักลอบค้าสัตว์ผิดกฎหมายข้ามชาติ
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะจำหน่ายภาพยนตร์ไปยังต่างประเทศ สหมงคลฟิล์ม จึงไม่ลังเลใจที่จะใช้ชื่อภาพยนตร์ว่า TOM YUM GOONG ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าภาพยนตร์ต่อไปของทีมงานชุดนี้อาจจะมี "PHAD THAI" ตามมาอีกระลอก
ตั๊ก-บงกช คงมาลัย รับบทเป็นผู้หญิงไทยในดินแดนออสเตรเลีย และมีส่วนช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนไทยจากประเทศไทยให้ทำหน้าที่จนเป็นผลสำเร็จด้วยอีกคนหนึ่ง ซึ่งแม้จะเป็นบทบาทที่ไม่เปลืองตัวสักเท่าไร แต่ในบทของ "ปลา" ตั๊กก็เอาตัวรอดไปได้อย่างไม่เคอะเขิน
ฉากการต่อสู้ตามแบบฉบับของ จา พนม มีทั้งฉากสั้นๆ และฉากที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยเห็นในภาพยนตร์ต่างประเทศ
ขณะ "องค์บาก" เป็นความใหม่ของวงการภาพยนตร์ อีกทั้งเสน่ห์ของ "องค์บาก" ก็คือความลับที่อยากรู้ของผู้ชมภาพยนตร์ทันทีที่ฟังชื่อเรื่อง ต้องการทราบว่า องค์บากคืออะไร เมื่อเปรียบเทียบกับ "ต้มยำกุ้ง" แล้ว ภาพยนตร์เรื่องหลังน่าจะเป็นแค่เพียงจุดขายที่คนดูหนังรู้เรื่องก่อนเข้าชม
พันนา ฤทธิไกร เป็นผู้กำกับศิลปะการต่อสู้ และเป็นผู้ควบคุมการต่อสู้ของ จา พนม ในแบบฉบับ "มวยคชสาร" มวยหลักของจัตุลังคบาท ประกอบด้วยท่ามวย "ทุ่ม-ทับ-จับ-หัก" ซึ่งมาจากแม่บท 2 ท่าคือ "เสือทำลายห้าง" และ "ช้างทำลายโรง" อันเป็นการเลียนแบบอิริยาบถของช้าง และถือได้ว่าเป็นอิริยาบถของสัตว์ 2 ชนิด ทั้ง "เสือ" และ "ช้าง"
การสอดใส่ตำรามวยไทยเข้าไปในภาพยนตร์แบบนี้ เป็นการเสี่ยงที่ชาวต่างประเทศจะเกิดความเข้าใจแต่บังเอิญที่รสชาติของการต่อสู้ที่เกิดจากการแสดงของ จา พนม เป็นความเต็มอิ่มและผู้ชมก็ไม่ต้องการความเป็นจริงอะไรอื่น นอกจากความบันเทิงเท่านั้น
ถึงอย่างไรก็ดี การสร้างภาพยนตร์เพื่อยึดครองตลาดต่างประเทศนั้น ผมเห็นว่าต้องเน้นความบันเทิงอย่างเรียบง่าย ความยุ่งยากซับซ้อนในการติดตามเรื่องราวน่าจะถูกจัดหลีกไปให้ไกลจากคนดูหนัง และในรูปแบบภาพยนตร์ก็ต้องทำ FORMAT ของมันให้ถูกต้อง
ศิลปการต่อสู้ของนักแสดงในภาพยนตร์ประเภทแอคชันแบบ "ต้มยำกุ้ง" นี้ ย่อมมีขอบเขตจำกัดแม้แต่ภาพยนตร์ลงทุนมโหฬารอย่าง "เจมส์ บอนด์ 007" ก็ยังต้องเจอปัญหาในเรื่องรูปแบบของการต่อสู้ นักเขียนบทภาพยนตร์เท่านั้นจะต้องควานหาของใหม่ๆ มุกใหม่ๆ มาป้อน
แต่ "เจมส์ บอนด์ 007" ก็ไปไม่ได้มาก ในที่สุดก็ต้องเจอ "ทางตัน" ภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ จึงได้รับความสำเร็จเท่าที่ควรจะได้ ไม่ตูมตามเหมือนหนังลงทุนต่ำบางเรื่องด้วยซ้ำไป
"ต้มยำกุ้ง" ของ จา พนม ก็มีลักษณะคล้ายกับภาพยนตร์แอคชัน ของสตีเวน ซีกัล ซึ่งผู้สร้างภาพยนตร์จำเป็นต้องหาของใหม่ มุกใหม่มาพิมพ์ลงไปในกำปั้นและแข้งขาของ ซีกัล จนแล้วจนรอดก็ต้องเจอปัญหาจำเจและซ้ำซาก
"องค์บาก" มีฉากตุ๊ก-ตุ๊ก และ "ต้มยำกุ้ง" ก็มีฉากเรือหางยาว ก็ว่ากันไปตามถนัด แต่สิ่งที่ "ต้มยำกุ้ง"ควรได้รับคำชมก็คือ ความสามารถในการสร้างภาพยนตร์ไทยที่ทัดเทียมกับผลผลิตจากต่างประเทศจากฮอลลีวูด โลกภาพยนตร์ และคำขอบคุณที่มอบให้กับสหมงคลฟิล์ม โดย เสี่ยเจียง-สมศักดิ์เตชะรัตนะประเสริฐ ที่ทำให้โลกภาพยนตร์รู้จักภาพยนตร์ไทย
ผมมีโอกาสไปเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ คนขับแทกซีที่นั่นรู้จัก โทนี จา และชื่นชมการแสดงของเขามากกว่า เฉินหลง ผมถามเหตุผลและเขาตอบว่า การแสดงของ เฉินหลง เป็นเพียงการแสดงของตลกคาเฟคนหนึ่ง แตกต่างกับ โทนี จา จากเมืองไทย
การวิจารณ์สั้นๆ จาก TAXI DRIVER ในฮ่องกงคนนี้คนเดียว "ต้มยำกุ้ง" ก็น่าจะคุ้มเกินพอแล้วครับ
เรื่องโดย : จอสยาม
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2549
คอลัมน์ Online : ใส่สีใส่สัน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/54890