ใส่สีใส่สัน
ความอร่อยของต้มยำกุ้ง
ขออีกสักครั้ง ในการพูดถึงภาพยนตร์ไทยเรื่อง "ต้มยำกุ้ง" (TOM-YUM-GOONG) ของคุณสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ หรือเสี่ยเจียง บิกบอสของค่ายสหมงคลฟีล์ม
"ต้มยำกุ้ง" ไม่ได้ให้ความบันเทิงในฟอร์แมทของภาพยนตร์แก่แฟนภาพยนตร์เพียงด้านเดียวหากยังถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยบนบรรทัดฐานภาพยนตร์นานาประเทศ "WELL-KNOWN" มากที่สุด นอกเหนือไปจากเป็นความสำเร็จของสหมงคลฟีล์ม และความมีชื่อเสียงของ จา พนม ยีรัมย์ หรือ มร.โทนี จา
เหนือกว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมพูดมานี้ "ต้มยำกุ้ง" ยังระเบิดก้าวใหม่อันเป็นก้าวมาตรฐานของภาพยนตร์โลกให้แก่วงการภาพยนตร์ไทย คือ การผลิตสินค้า ผลิตภัณฑ์ MERCHANDISING ที่มาพร้อมกับภาพยนตร์
ท่านผู้อ่านจะทราบหรือไม่ก็ตาม โดยคำว่า MERCHANDISING นั้นผมขออนุญาตนำคำแปลมาประกอบไว้ที่นี้ เพื่อยืนยันความเป็นก้าวใหม่ตามมาตรฐานโลกของ "ต้มยำกุ้ง" จากพจนานุกรมของ LONGMAN ซึ่งมีความดังนี้ครับ
"MERCHANDISING/TOYS, CLOTHES, AND OTHER PRODUCTS BASED ON A POPULAR FILM, TV SHOW ETC. AND SOLD TO MAKE ADDITIONAL PROFITS."
เห็นอย่างนี้ก็น่าจะชัดเจนขึ้นว่า ผลิตภัณฑ์สินค้าที่มาพร้อมกับ "ต้มยำกุ้ง" เป็นเครื่องเคียงที่ทั่วโลกยอมรับ เข้าองค์ประกอบอย่างสมบูรณ์ทั้งความมีชื่อเสียงของภาพยนตร์ และเป็นการพอกพูนกำไร
สินค้าดังกล่าวได้ครอบคลุมจักรวาลทุกรูปแบบ ไม่เพียงแค่ TOYS หรือ CLOTHES แต่ยังหมายถึงของขบเคี้ยว หนังสือทั้งการ์ตูนและเบื้องหลัง บัตรโทรศัพท์ และเกมส์
บรรดาสินค้าเหล่านี้ ผลิตภัณฑ์ที่น่าจะทำรายได้ดีกว่าในประเทศไทยก็เห็นจะได้แก่หนังสือการ์ตูนโดยมุ่งตลาดหนังสือญี่ปุ่นเป็นหลักไมล์แรก กับเกมส์ซึ่งบริษัทที่ได้รับลิขสิทธิ์ได้จัดทำขึ้นมาเป็นลอทแรกในชื่อ "TONY JA : TOM YUM GOONG THE GAME" คาดหมายกันว่าคงจะทำรายได้สูงสุดให้กับบริษัท โดยลำพังในตลาดแค่ไทยกับอาเซียน ยังไม่รวมสหรัฐอเมริกา และยุโรป
"ต้มยำกุ้ง" เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ในการร่วมมือกันของคน 3 คน คือ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับการแสดง, พันนา ฤทธิไกร ผู้กำกับศิลปการต่อสู้ และ จา พนม หรือ โทนี จา หลังจาก "องค์บาก" เรื่องแรกที่พวกเขาได้รับความสำเร็จมาแล้วอย่างงดงาม
"องค์บาก" ทำรายได้ในสหรัฐ ฯ 1,567,167 เหรียญสรอ. หรือประมาณ 200 ล้านบาท ปรัชญา พูดถึงเรื่องนี้ว่า
"ทุกวันนี้ต่างชาติไม่เข้าใจนะว่า "องค์บาก" คืออะไร" และ "ผมเลยพยายามเอาชื่อง่ายๆเวลาต่างชาตินึกถึงไทย "ต้มยำกุ้ง" มันเป็นชื่อแรกๆ ที่เขาจะนึกถึง เราก็เลยตั้งชื่อมาก่อนที่จะมาเขียนเป็นเรื่องด้วยซ้ำ"
ผมเป็นคนโบราณแต่ก็ยังมีความเห็นต่างกับคุณปรัชญา ความสำเร็จในต่างประเทศของ "องค์บาก"น่าจะมาจากความไม่เข้าใจว่า องค์บากคืออะไร รายงานที่พบยังพบว่า อเมริกันชนค้นคว้าหาคำว่า ONG BAK จากอินเตอร์เนทกันสะพรึ่บ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คุณเชิด ทรงศรี ต้องการทำหนังเรื่อง "น้อยไจยา" อันเป็นบทประพันธ์ที่ได้รับความสำเร็จ ได้มาพบผมที่โรงภาพยนตร์ควีนส์กับคุณไพรัช กสิวัฒน์ เพื่อต้องการให้ผมเปลี่ยนชื่อหนัง เพราะเกรงว่าคนดูไม่เข้าใจคำว่า "น้อยไจยา" ผมก็บอกคนทั้งสองไปว่าใช้ชื่อนี้ไปเถิดเพราะมีคุณค่าในตัวดีอยู่แล้ว ตรงกับความมุ่งหมายและเนื้อหา ความสมบูรณ์ในการสร้างต่างหากที่จะช่วยให้ "น้อยไจยา" เกิดความสำเร็จเท่าเทียมบทประพันธ์และสร้างความเข้าใจให้กับคนดูหนัง
ทั้งคุณเชิดและคุณไพรัช ก็บังเอิญเชื่อผม และก็ปรากฏว่า "น้อยไจยา" สำเร็จ
"องค์บาก" ก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่แต่คนต่างชาติเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ คนไทยก็ไม่เข้าใจและคิดไม่ถึงว่าเป็นเศียรพระพุทธรูปที่มีรอยบาก แต่เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของคนทำหนังเรื่องนี้ต่างหากความอร่อยของเนื้อหาต่างหากที่ทำให้ผู้คนสนใจค้นหาคำว่า "องค์บาก" คืออะไร
แต่ถึงอย่างไร ผมก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรต่อชื่อ "ต้มยำกุ้ง" เพราะผมก็เป็นคนไทยอีกคนหรือคนต่างชาติอีกคนที่รู้จักความอร่อยของต้มยำกุ้ง โปรดปรานรสชาติจนเป็นเมนูจานเด็ดอีก 1 จานของผม
ศิลปการต่อสู้ในรูปแบบ MARTIAL ART นั้นต้องยอมรับว่า จา พนม เป็นนักแสดงที่มีความสามารถอย่างโดดเด่น แสดงท่าให้คนดูยอมรับจนได้ว่าเป็นไปได้จริงจัง "ต้มยำกุ้ง" มีมวยไทยที่เรียกชื่อว่า "มวยคชสาร" อันเป็นมวยหลักของ "จัตุลังคบาท" เจ้ากรมพระตำรวจหลวงประจำ 4 เท้าช้างทรงของพระมหากษัตริย์หรือพระมหาอุปราช ในการทำสงครามบนหลังช้าง
พันนา ฤทธิไกร เล่าว่าได้รับความช่วยเหลือจากครูมวยที่มีความรู้คือ พันโทอำนาจ พุกศรีสุขสอนท่ามวย "ทุ่ม-ทับ-จับ-หัก" ซึ่งมาจากแม่บท 2 ท่า คือ "เสือทำลายห้าง" และ "ช้างทำลายโรง" อันเป็นการเลียนแบบอิริยาบถของช้าง
เมื่อผมคิดถึงท่ามวยสองท่านี้แล้ว ก็ทำให้นึกไปถึงชื่อหนังเรื่องหนึ่งของ อัง ลี คือ "CROUCHING TIGER, HIDDEN DRAGON" ด้วยมีอิริยาบถของสัตว์ 2 ชนิด ทั้ง TIGER และ DRAGON เหมือนกับอิริยาบถของ TIGER และ ELEPHANT ใน "เสือทำลายห้าง" และ "ช้างทำลายโรง"
"ต้มยำกุ้ง" เป็น PORTRAIT ของหนังไทยที่สมบูรณ์แบบอีกเรื่องและถึงซึ่ง "โกอินเตอร์" จริงๆ ขอขอบคุณทั้งเสี่ยเจียง และจา พนม
เรื่องโดย : จอสยาม
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : ใส่สีใส่สัน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/54802