พิเศษ(cso)
รู้ลึกเรื่องแอมพ์
ฉบับนี้ขอต้อนรับหน้าร้อนด้วยความร้อนแรง กับเรื่องของเพาเวอร์แอมพ์ (POWER AMPLIFIER)ที่เรียกได้หลายอย่างตามแต่ถนัดของแต่ละท่าน ทั้ง "เพาเวอร์แอมพ์/แอมพ์/แอมพลิไฟเออร์/ภาคขยาย"สำหรับผมเวลาเขียนเยอะๆ จะเรียกว่า "แอมพ์" สั้นๆ ดีครับ
แอมพ์มีให้เลือกหลากหลายประเภทตามความเหมาะสม และลักษณะของการใช้งานแบ่งประเภทหลักๆ ออกเป็น CLASS ต่างๆ โดยในแต่ละ CLASS จะแยกย่อยตามจำนวนแชนแนลและยังแยกตามลักษณะการใช้งานไดัอีกด้วย ไม่ต้องสับสน เพราะหลังจากอ่านคอลัมน์นี้จบจะเข้าใจได้โดยง่าย
CLASS AMPS
ก่อนอื่นขอแยกประเภทของแอมพ์เป็น CLASS ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันมีการคิดค้นออกมามากมายแต่ในอดีตหลักๆ มีอยู่ 3 CLASS คือ CLASS A/CLASS B และ CLASS AB เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีCLASS D/CLASS T/CLASS G/CLASS H และอาจมี CLASS ต่างๆ เกิดขึ้นมาอีกในอนาคต
CLASS A
วงจรขยายชนิด CLASS A นั้นออกแบบให้ทรานซิสเตอร์ทุกตัวทำหน้าที่นำกระแสไฟซึ่งการทำงานจะคล้ายกับแบบ CLASS AB
แต่เป็นการไบแอสให้ทรานซิสเตอร์ทำงานจะอยู่ในลักษณะเป็นเชิงเส้เพื่อให้ขยายสัญญาณอินพุทได้ทั้งช่วงบวก/ลบเท่าๆ กันโดยไม่เกิดการคลิพปกติจะนิยมใช้ในวงจรขยายความเพี้ยนต่ำที่ต้องการคุณภาพเสียงจริงๆดังตัวอย่างแอมพ์ที่ระบุว่ามีกำลังขับ 100 วัตต์ อาจต้องการกระแสไฟภายในเกือบ 100 วัตต์แม้ว่าจะไม่มีสัญญาณเข้ามาทางอินพุทก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เครื่องขยายชนิดนี้มีความร้อนสูงและต้องออกแบบให้มีการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ
CLASS B
วงจรขยายชนิด CLASS B การทำงานของวงจรอยู่ที่ชนิดของทรานซิสเตอร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับโครงสร้างภายในของอุปกรณ์ (NPN และ PNP) ซึ่งทำงานได้เพียงครึ่งเดียว เช่น ครึ่งบวกและครึ่งลบของสัญญาณ ทำให้วงจรประเภทนี้มีความเพี้ยนสูงและต่อมาได้มีการออกแบบเป็นวงจรขยาย PUSH-PULL เพื่อแก้ไขวงจรชนิดนี้ โดยใช้ทรานซิสเตอร์ 2ตัวช่วยกันทำหน้าที่ขยายสัญญาณในแต่ละช่วง (ช่วงบวก และลบ) เพื่อให้ได้เวฟฟอร์มที่ครบวงจร
CLASS AB
สำหรับแอมพ์ชนิดนี้มีลักษณะการทำงานคล้ายกับแอมพ์ CLASS A คือ ทำหน้าที่ขยายสัญญาณระดับต่ำให้แรงขึ้นก่อนที่จะส่งไปยังภาคขยาย CLASS B เป็นการนำเอาข้อดีของวงจรแต่ละชนิดมาประยุกต์การทำงาน เมื่อเทียบกับการสูญเสียในเรื่องของประสิทธิภาพที่มีอยู่บ้างแต่ด้านกำลังขับนั้นยังสูงกว่าแอมพ์แบบ CLASS A หลายเท่า
CLASS D
แอมพ์ D ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นแอมพ์แบบดิจิทอลเพราะสัญญาณอินพุทจะถูกแปลงจากเวฟฟอร์มไปเป็นรูปไบนารี (0 กับ 1) แต่ความต่างกันอยู่ที่แอมพ์CLASS D ไม่ได้กำหนดให้ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ดิจิตอล และแอมพ์ CLASS Dเป็นการออกแบบให้ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการขยายซึ่งแทนที่จะต้องเสียกำลังไปในเรื่องของความร้อน เนื่องจากไม่ได้ทำงานตลอดเวลาเพราะความถี่สูงจะถูกตัดออกไปในช่วงระหว่างภาคจ่ายไฟบวก และลบทำให้อุปกรณ์ไม่ได้ทำงานตลอดเวลา (ความร้อนจึงต่ำ) ในด้านประสิทธิภาพนั้นจึงสูงกว่าแอมพ์CLASS AB หลายเท่า แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของการตอบสนองความถี่เสียงซึ่งเหมาะสำหรับใช้งานกับลำโพงซับวูเฟอร์ แต่ไม่เหมาะสมที่จะนำไปขับลำโพงเสียงกลาง และแหลมในขณะเดียวกันได้มีความพยายามออกแบบแอมพ์ชนิดนี้ให้มีประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นจากเดิมอาจทำงานได้เพียง 70-80 % แต่ปัจุจบันได้ใช้ทรานซิสเตอร์ชนิดออสเฟท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขยายกำลังให้สูงขึ้น
CLASS T
แอมพ์ CLASS T มีการออกแบบพัฒนาประสิทธิภาพให้สูงยิ่งขึ้น โดยใช้ตัวประมวลผลสัญญาณดิจิทอล (TRI-PATH) แต่ไม่ใช้วงจรฟีดแบค อนาลอกเหมือนกับ CLASS D ซึ่งวงจรฟีดแบคจะเป็นสัญญาณดิจิทอล ซึ่งตัวประมวลผลสามารถที่จะหลีกเลี่ยงไทมิงเออร์เรอร์หรือทำงานผิดจังหวะซึ่งทำให้เกิดความเพี้ยน ในขณะที่ตัวประมวลผลสัญญาณดิจิทอล เพื่อแปลงอินพุทอนาลอกไปเป็นสัญญาณ PWM และประมวลผลข้อมูลก่อนจะส่งกลับเพื่อทำการปรับแต่งจังหวะการทำงาน ในขณะที่วงจรลูพฟีดแบคไม่มีวงจรฟิลเตอร์ เอาท์พุททำให้วงจรทำงานได้เต็มช่องสัญญาณเสียง (20-20,000 HZ) ทำให้แอมพ์ CLASS Tสามารถใช้งานได้ทั้งลำโพงซับวูเฟอร์หรือลำโพงเสียงกลาง/แหลมแต่ก็ทำให้นักเล่นส่วนใหญ่ไม่สามารถชี้ความแตกต่างด้านเสียงระหว่างแอมพ์ CLASS T กับแอมพ์CLASS AB ที่ออกแบบดีๆได้ แต่แอมพ์ CLASST ให้ประสิทธิภาพสูงกว่า (90 %) เมื่อเทียบกับแอมพ์CLASS AB
CLASS G
แอมพ์ CLASS G เป็นการออกแบบที่เพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขี้นมาอีกขั้น โดยลดการสูญเสียแรงดันของทรานซิสเตอร์ เอาท์พุท ซึ่งมีความสลับซับซ้อนมากโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของแอมพ์CLASS AB ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน โดยไม่เกิดความเพี้ยนของสัญญาณ และบางครั้งเรียกการออกแบบนี้ว่า "เรล สวิทเชอร์" ในด้านประสิทธิภาพระหว่างแอมพ์ CLASS G มีประสิทธิภาพเทียบเท่าCLASS D หรือ T ในขณะที่การออกแบบ CLASS G จะมีความสลับซับซ้อนกว่ามาก
CLASS H
แอมพ์ CLASS H มีความคล้ายกับแอมพ์ CLASS G ยกเว้นจุด RAIL VOLTAGE (สัญญาณไม่เกิดการคลิพ) ที่ไม่มีการโมดูเลทสัญญาณอินพุทเท่านั้น (เปลี่ยนความถี่ของสัญญาณอินพุท)ซึ่งการออกแบบจะมีความซับซ้อน แต่มีวงจรที่คล้ายกับใช้ในแอมพ์ CLASS D ก็คือ มีโมดูเลทเพาเวอร์ ซัพพลายเรล (เปลี่ยนความถี่ของแหล่งจ่ายกำลัง) ที่เหมือนกัน และทำงานเหมือนกับแอมพ์ CLASS AB
ลูกเล่นต่างๆ
ในด้านลูกเล่นที่บรรจุอยู่ในแอมพ์แต่ละประเภทนั้น ส่วนใหญ่จะมีวงจรครอสส์โอเวอร์ในตัวสามารถเลือกตัดแบ่งความถี่สูง (HIGHPASS) และความถี่ต่ำ (LOWPASS)โดยออกแบบให้เลือกตัดความถี่ได้ครอบคลุมการทำงานในแต่ละช่วง อย่างเช่น ไฮพาสส์ปรับได้ตั้งแต่500-1,000 HZ และโลว์พาสส์ 50-500 HZ มีสวิทช์เลือกตัดความถี่ (ไฮ/แฟลท/โลว์) หรือซับเบสส์ฟิลเตอร์ สำหรับช่วงความถี่ของซับวูเฟอร์ นอกจากนี้ยังสามารถปรับความลาดชัน (SLOPE) ได้ตั้งแต่12-24 ดีบี (หรือมากกว่านี้) ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้ผลิต และความเหมาะสมในการใช้งาน
ส่วนลูกเล่นอื่นๆ มีกราฟิค อีควอไลเซอร์ ซึ่งออกแบบให้ใช้งานหลายช่วงเช่น 5 หรือ 10 แบนด์มีสวิทช์เลือกปรับเล่นได้ทั้งระบบสเตริโอหรือโมโน ช่องต่อสำหรับรีโมทเบสส์ คอนโทรล (REMOTEBASS CONTROL) เพื่อเลือกปรับช่วงความถี่ต่ำโดยเฉพาะมีให้เลือกปรับได้ต่อเนื่องตั้งแต่ 45-90 HZหรือเฉพาะช่วงความถี่ที่กำหนดจากโรงงานผู้ผลิต ปุ่มปรับเพิ่ม/ลดเสียงเบสส์(บูสต์/คัท) สามารถเลือกปรับเสียงทุ้ม (เช่น 45 HZ) และแหลม (เช่น 12 KHZ) ได้ ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่ 12, 18 ดีบี) หรือปุ่มปรับเลือกเฟสได้ต่อเนื่อง 0-180 องศา (VARIABLE PHASE ALINGNMENT)
นอกจากนี้ก็มีปุ่มปรับซับโซนิค ฟิลเตอร์ สำหรับตัดช่วงความถี่ต่ำที่ไม่ต้องการ เช่น 10-30 HZ ขนาด 12ดีบี หรือ 24 ดีบี มีช่องต่อสัญญาณ RCA แบบ BALANCED LINE INPUTSเพื่อรายละเอียดของคุณภาพเสียง และวงจรป้องกันความเสียหายแบบหลาทาง เช่นป้องกันขับเกินกำลัง ต่อสายลัดวงจร ความร้อนเกินกำหนด แรงดันเกินกำหนดหรือวงจรหน่วงเวลาป้องกันเสียงตุ๊บออกที่ลำโพง เพราะยิ่งมีฟังค์ชันใช้งานต่างๆ มากขึ้นเท่าไรถือว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานที่กว้างมากขึ้นเท่านั้น
จำนวนแชนแนล
หากแยกประเภทแอมพ์ตามจำนวนแชนแนล โดยไม่คำนึงถึงตัวเลขวัตต์ ค่อนข้างชัดเจนกว่าก็คือหากขับลำโพง 1 คู่ ใช้แอมพ์ 2 แชนแนล หากขับ 2 คู่ ใช้แอมพ์ 4 แชนแนลนี่คือพื้นฐานที่ง่ายชนิดที่คนไม่เคยเล่น สามารถเลือกได้ทันที
ผมจะเริ่มจากแอมพ์ 2 แชนแนล เป็นพื้นฐานสำหรับนักเล่นที่เพิ่งจะเริ่มต้น กับระบบ SINGLE-AMPคือไม่มีการแยกสัญญาณ ก่อนเข้าแอมพ์เครื่องเดียวโดยฟูลล์เรนจ์อินพุทจะผ่านมาทั้งเบสส์/กลาง/แหลม ส่วนจะนำไปขับลำโพงอะไรไม่จำกัดไม่ว่าจะเป็นแยกชิ้น โคแอกเซียล หรือซับวูเฟอร์ก็ตาม ส่วนใหญ่จะนำมาขับลำโพงแยกชิ้น 1 คู่เพราะไฮเพาเวอร์ไม่สะใจพอ
3 แชนแนล ไม่ค่อยจะมีให้เห็นกัน แต่ผมเคยเห็นอยู่ยี่ห้อหนึ่ง คงจะรองรับในส่วนของซับวูเฟอร์ คือ 2แชนแนล ขับลำโพงแยกชิ้น 1 คู่ และแชนแนลที่ 3 ขับซับโดยเฉพาะ หากสนใจก็ลองหากันดูนะครับ
4 แชนแนล เป็นแอมพ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สำหรับชุดฟัง สามารถเล่นได้ทั้ง SINGLE-AMP และBI-AMPS แต่หากใช้ 4 แชนแนลแล้ว น่าจะเล่น BI-AMPS ไปเลย อินพุทจะมี 4 แชนแนลสำหรับลำโพง 2 คู่ หากคุณต้องการเลือกฟังแบบหน้า/หลัง หรือฟรอนท์สเตจ เรียร์ฟิลล์และยังฟังเต็มระบบได้อีก คือ ลำโพง 1 คู่ กับซับวูเฟอร์ข้างเดียว นี่คือระบบเล็กที่สมบูรณ์ได้เสียงครบถ้วน และได้รับนิยมมากกับฟรอนท์สเตจ คือลำโพงแยกชิ้นคู่หน้า กับซับวูเฟอร์ 10"ข้างเดียว ติดอยู่นิดเดียวคือ ผู้โดยสารด้านหลังจะได้ยินเสียงกลาง/แหลมไม่เต็มและได้เสียงเบสส์มากเกินไป ส่วนด้านหน้าได้อรรถรสเต็มๆ
5 แชนแนล เป็นแอมพ์ที่เริ่มได้รับความนิยมในระยะหลัง เนื่องจากออกมารองรับระบบคาร์เธียเตอร์ 5.1แชนแนล "แล้วมันหายไปไหน 1 แชนแนล" ลำโพงเซนเตอร์สำหรับเสียงพูด ส่วนใหญ่ใช้ตัว TUNERภาคถอดรหัส ฟรอนท์ขับ หรือลำโพงเสียงกลางที่มีแอมพ์ในตัว แล้วแต่เทคนิคของแต่ละร้าน (แอมพ์ 6แชนแนล ที่ออกแบบมาเป็น 5.1 จริงๆ กลับไม่ได้รับความนิยมเท่า อีกทั้งราคาสูงมาก) แอมพ์ 5แชนแนล ออกแบบมาสำหรับขับลำโพง 2 คู่ และซับวูเฟอร์ข้างเดียง คือ คู่หน้า เซอร์ราวน์ด และซับข้อดีอีกอย่างคือสามารถนำมาขับแบบ TRI-AMPS ได้ คือ แยกขับทวีเตอร์ 1 คู่ มิดเรนจ์ 1 คู่และซับข้างเดียว ส่วนจะนำไปขับเป็นแบบอื่น ก็ไม่มีใครว่าอะไร
6 แชนแนล ออกแบบมา 2 ลักษณะ คือ 5.1 แชนแนล ซึ่งจะสกรีนที่ข้างกล่องหรือตัวซิงค์ว่า 5.1 CHส่วน 6 แชนแนลทั่วไป จะออกแบบมาให้ขับลำโพง 2 คู่ และซับวูเฟอร์ 1 คู่เป็นการเพิ่มเสียงเบสส์แบบสเตริโอ และยังบริดจ์เป็นโมโนได้กำลังขับเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว และยังนำไปจัดระบบ TRI-AMPS ได้
7 แชนแนล ไม่ค่อยจะมีให้เห็นเช่นกัน มี 2 ลักษณะ คือออกแบบมาเป็น 5.2 แชนแนลสำหรับขับลำโพงหน้า 1 คู่ เซอร์ราวน์ด 1 คู่ และซับ 1 คู่ รวมถึงลำโพงเซนเตอร์ด้วย หรือไม่อาจเป็น 7แชนแนล เพียวๆ คือ ขับลำโพง 3 คู่ และซับวูเฟอร์ข้างเดียวโดยออกแบบให้ในแต่ละแชนแนลมีกำลังขับแตกต่างกัน เพื่อให้จัดระบบที่สูงขึ้นอย่าง TRI-AMPS และQUAD-AMPS (เป็นการแยกสัญญาณเป็น 4 ช่วง คือ เบสส์ กลาง แหลม และซับ โดยไม่จำกัดว่าจะเลือกจุดตัดเท่าไร เพียงแต่ต้องให้เหมาะสมกับลำโพง และสภาพอคูสติคในรถ)
MONO BLOCK เป็นแอมพ์ 1 แชนแนล หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไมไม่เอาขึ้นเป็นประเภทแรกเหตุผลก็คือ เป็นแอมพ์เฉพาะที่ผลิตออกมาเพื่อขับซับวูเฟอร์ มีกำลังขับตัวเลขสูงกว่า 1,000 วัตต์โหลดเล่นได้ที่ความต้านทานต่ำๆ อย่าง 2 หรือ 1 โอห์ม และต่ำกว่านั้น อินพุทมีช่องเดียว ส่วนใหญ่เป็นCLASS D และใช้ในการจัดชุดโชว์ หรือเพื่อการแข่งขันเท่านั้น แต่สำหรับหูเหล็กทั้งหลายคงไม่อาจห้ามได้
ลักษณะการใช้งาน
แอมพ์ยังแยกได้ตามลักษณะการใช้งาน ซึ่งละเอียดอ่อนมากขึ้น แต่ผมจะสรุปให้ง่ายๆตามหัวข้อต่อไปนี้ เพื่อที่จะเลือกได้อย่างลงตัว
กำลังขับ "วัตต์"
ตัวเลขวัตต์จะพิจารณาเฉพาะแอมพ์ที่มี จำนวนแชนแนลเท่ากัน เช่น 2 แชนแนล มีให้เลือกตั้งแต่ 25วัตต์x2/50 วัตต์x2/100 วัตต์x2/200 วัตต์x2/300 วัตต์x2 (อาจมีตัวเลขที่แตกต่างออกไป)ดังนั้นแอมพ์ที่มีกำลังขับ 25-60 วัตต์/แชนแนล จัดว่าพอเหมาะเพื่อการฟังสบายๆ ถึงตึงนิดๆในรถที่มีห้องโดยสารขนาดกลางลงมา ส่วนมากกว่า 60-120 วัตต์/แชนแนล สำหรับฟังแบบเต็มๆในรถที่มีห้องโดยสารขนาดใหญ่ลงมา และมากกว่า 120 วัตต์/แชนแนลขึ้นไปจัดเป็นไฮเคอร์เรนท์หรือกระแสสูง เหมาะกับหูเหล็ก อีกทั้งแอมพ์ประเภทนี้ยังนำไปขับซับวูเฟอร์ได้อีกด้วย
บริดจ์โมโน
บริดจ์โมโน เป็นการนำสัญญาณซ้าย/ขวามารวมกันเป็นโมโน ซึ่งจะได้กำลังขับที่สูงขึ้น โดยปกติเท่าตัวแต่จะมากน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับวิศวกรของแต่ละค่ายที่ออกแบบมา ส่วนใหญ่จะใช้สัญญาณ (+) ซ้ายกับ (-) ขวา แต่ทางที่ดีให้สังเกตที่สกรีนจะดีกว่า เพราะบางรุ่นไม่ได้ออกแบบมาให้บริดจ์โมโนได้สำหรับแอมพ์ในปัจจุบัน เกือบทุกรุ่นบริดจ์ได้ครับ
ทำไมต้องบริดจ์โมโนด้วย ? คำตอบง่ายนิดเดียว คือ ต้องการกำลังขับที่เพิ่มขึ้นคงจะนึกภาพออกนะครับว่า แอมพ์กี่แชนแนล บริดจ์แล้วเหลือกี่แชนแนลส่วนแชนแนลที่เกินมาก็ไม่ต้องไปบริดจ์มัน ที่ผมจะเน้นคืออย่างซื้อแอมพ์เพื่อมาบริดจ์ใช้งานโดยเฉพาะ ถ้าคุณต้องการวัตต์สูงๆก็ให้ซื้อแอมพ์วัตต์สูงไปเลยจะดีกว่า ส่วนการบริดจ์ให้พิจารณาตามระบบที่จัดจะดีกว่า
TRI-MODE
นี่คือข้อดีของการบริดจ์โมโน ในช่วงที่กระแสฟรอนท์สเตจได้รับความนิยม เกิดการเล่นแบบ TRI-MODE มากขึ้น คือ ใช้แอมพ์ที่ขับปกติ แต่เพิ่มการบริดจ์เข้าไปด้วย เช่น แอมพ์ 2 แชนแนล ขับลำโพง 2คู่ แล้วยังบริดจ์ขับซับวูเฟอร์ข้างเดียว ข้อดีคือ เค้นพลังวัตต์ได้คุ้มค่าคุ้มราคา ข้อเสียคืแอมพ์ทำงานหนัก ดังนั้นให้เลือกเล่นแบบ TRI-MODE เฉพาะกับสเปคที่ระบุมาเท่านั้น ปัจจุบันแอมพ์กระแสสูงส่วนใหญ่ สามารถต่อเล่นได้
โหลดเล่นที่โอห์มต่ำ
แอมพ์ส่วนใหญ่ออกแบบมาให้ขับเล่นที่ 4 และ 2 โอห์ม เท่านั้น จะมีต่ำกว่านั้นก็ประเภท CLASS Dที่ลงได้ 1 โอห์ม หรือต่ำกว่านั้น สำหรับผม คิดว่าควรจะเล่นในความต้านทานที่ระบุมาเพื่อให้แอมพ์ทำงานปกติ และอยู่นานๆ คุ้มค่าเงิน การโหลดเล่นที่โอห์มต่ำจะคล้ายๆ กับ บริดจ์โมโนคือให้ตัวเลขวัตต์ที่สูงขึ้น แต่จะมีเหตุผลมากกว่านั้น กรณีที่ขับซับวูเฟอร์สามารถต่อเล่นได้ในแบบอนุกรม หรือขนาน เพื่อให้มีตัวเลขวัตต์ใกล้เคียงกัน เป็นการเค้นพลังแอมพ์และขับเล่นกับซับดุ ซึ่งใช้ในการแข่งขัน SPL ซึ่งก็มีนักเล่นเครื่องเสียงตัวจริงนำมาใช้กันเพราะไม่ต้องใช้แอมพ์หลายตัวขับซับจำนวนมาก ทั้งประหยัด น้ำหนักไม่มาก และลดปัญหาเรื่องไฟ
การเลือกแอมพ์
การเลือกแอมพ์ ก็คล้ายๆ กับเลือกฟรอนท์เอนด์ คือ เลือกให้เหมาะสมกับระบบที่ต้องการ ลูกเล่นต่างๆที่เพิ่มขึ้นมาคือ ตัวเลขกำลังขับ และต้องคำนึงถึงพื้นที่การติดตั้งเพราะการขนเอาเครื่องเสียงใส่ไปในรถมากๆ เป็นการสร้างปัญหาให้กับระบบไฟ น้ำหนัก
และการออกแบบติดตั้ง
SINGLE-AMP ระบบเริ่มต้น แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมกัน คือใช้แอมพ์ขับลำโพงโดยตรง 2 แชนแนลต่อลำโพง 1 คู่ แบบไม่แยกสัญญาณก่อนเข้า และออกจากแอมพ์เป็นระบบที่ประหยัดได้เสียงพอเหมาะ ฟังสบาย และภาคขยายของฟรอนท์ไม่ต้องทำงานหนักโดยทั่วไปเลือก 25-70 วัตต์ กับลำโพงแยกชิ้น 2 ทาง และมากกว่า 70-200 สำหรับลำโพงแยกชิ้น 3ทาง ตรงนี้ไม่ตายตัวนะครับ
BI-AMPS ระบบที่ได้รับความนิยม เริ่มได้ตั้งแต่แอมพ์ 4 แชนแนล ขึ้นไปโดยแยกสัญญาณก่อนเข้าแอมพ์ หรือใช้ครอสส์โอเวอร์ในตัว เพื่อขับลำโพงแยกชิ้น 2 ทางแบบตัวต่อตัว คือ 2 แชนแนลขับทวีเตอร์ และ 2 แชนแนลขับวูเฟอร์ หรือ 2 แชนแนลขับลำโพง 1 คู่
และอีก 2 แชนแนลขับซับวูเฟอร์ ตรงจุดนี้คุณสามารถเพิ่มเติมระบบด้วยแอมพ์ 2 แชนแนลไฮเคอร์เรนท์เพื่อแยกขับซับวูเฟอร์ต่างหากก็ได้ ขึ้นอยู่กับงบประมาณ
TRI-AMPS ระบบสำหรับนักเล่นที่ไม่หยุดนิ่ง สามารถเลือกตัดสัญญาณ 3ช่วงได้ตามสไตล์การฟังที่ชอบ หรือเพื่อแก้ปัญหาสภาพอคูสติคในรถ โดยแยกสัญญาณเบสส์ กลางแหลมออกจากกันก่อนเข้าแอมพ์ หรือใช้ครอสส์โอเวอร์ในตัวแอมพ์ การขับจะเป็นแชนแนลต่อแชนแนลทั้งหมดส่วนใหญ่ใช้แอมพ์ 4 แชนแนลขับกลาง/แหลม 1 คู่ และ 2 แชนแนลขับซับ หรือไม่ก็ 5 แชนแนลเครื่องเดียว ขึ้นอยู่กับพื้นที่การติดตั้ง
คาร์เธียเตอร์
ระบบที่กำลังมาแรง
การเลือกเพาเวอร์แอมพ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานในระบบ CAR THEATER หรือบางครั้งเรียกว่าระบบ CAR AV ส่วนใหญ่การจัดชุดในระบบนี้มักเลือกตามจำนวนช่องสัญญาณเสียงหรือตามระบบเสียงในปัจจุบัน (DOLBY DIGITAL หรือ DTS) เพื่อความสมจริงในการฟังเอฟเฟคท์จากภาพยนตร์หรือคอนเสิร์ทที่บันทึกระบบเสียงหลายทิศทางก็ได้ดังนั้นควรจะเป็นแอมพ์แบบหลายช่องเสียง (MULTI CHANNEL) อย่างเช่นแบบ 5 แชนแนล หรือ 6 แต่บางยี่ห้อมีถึง 7 แชนแนล หรือจะเลือกใช้แอมพ์มากกว่า 2 เครื่อง แต่ให้ครบตามจำนวน แชนแนลกับระบบเสียงที่รองรับอยู่
นอกจากเลือกได้ตรงตามระบบแล้ว ว่าต้องการแอมพ์กี่แชนแนล กี่เครื่อง ต่อมาให้คำนึงถึงตัวเลขวัตต์เพราะยิ่งวัตต์สูงราคาก็สูงตาม ควรให้ตัวเลขวัตต์ใกล้เคียงกับวัตต์ของลำโพงที่จัดชุดมากน้อยกว่าไม่เกิน 10 วัตต์ โดยเปรียบเทียบจากตัวเลขกำลังขับต่อเนื่อง กับวัตต์ต่อเนื่องของลำโพงที่ความต้านทาน 4 โอห์ม ส่วนการขับซับ ให้เปรียบเทียบกำลังขับวัตต์ต่อเนื่อง หรือวัตต์บริดจ์โมโนกับวัตต์ต่อเนื่องของซับวูเฟอร์ ที่ความต้านทานเดียวกัน เป็นหลัก
ส่วนลูกเล่น หากเป็นแอมพ์ประเภทเดียวกัน ราคาใกล้เคียงกัน ให้เลือกรุ่นที่มีลูกเล่นมากกว่าเช่นมีพรีแอมพ์ในตัว ปรับเสียงเบสส์/แหลม มีครอสส์โอเวอร์ในตัว มีบูสต์เบสส์ รีโมทเบสส์เพื่อที่จะได้นำมาใช้งานได้หลากหลายขึ้น หรือหากต้องการเพิ่มเติมระบบแต่ถ้าเป็นแอมพ์ประเภทเดียวกัน ลูกเล่นเหมือนกัน ให้เลือกที่ราคาถูกกว่า หากติดยี่ห้อก็ไม่ว่ากันครับปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตแอมพ์ทัดเทียมกัน ไม่มีปัญหาเสียงกวนให้ได้ยินการตอบสนองความถี่ครอบคลุมเป็นช่วงกว้าง และค่อนข้างแฟลท
ปิดท้ายด้วยเรื่องพื้นที่การติดตั้ง หลายๆ ท่านตกม้าตาย เพราะจัดระบบได้สะใจลงตัวซื้อของมาเรียบร้อย แต่ไม่รู้จะติดตรงไหน เพราะภายในรถมีพื้นที่จำกัด ก็เรียบร้อยครับถึงแม้ช่างติดตั้งบ้านเราจะมีฝีมือ นำสินค้าใส่รถได้มาก แต่อย่าลืมว่าน้ำหนักก็มาตามระบบไฟก็ต้องเพิ่มเติม ดังนั้นคำนวณให้ดีครับ จะได้ไม่ปวดหัวทีหลัง
สำหรับมือใหม่หัดเล่น หากไม่แน่ใจให้ทดลองฟังเสียงจริงก่อน ลองปรับ GAIN อัดที่มากกว่า 12นาฬิกา แต่ระวังลำโพงเสียหายนะครับ ค่อยๆ บิดพอตึงๆ และเลือกปรับลูกเล่นต่างๆ ดู ทั้งครอสส์โอเวอร์ และบูสต์/คัทเบสส์ ทรีเบิล ผมเคยทดสอบแอมพ์ 2 แบรนด์ดัง จำนวนแชนแนลและกำลังขับเท่ากัน แต่ให้เสียงออกมาต่างกันเพราะวิศวกรของแต่ละค่ายจะผลิตวงจรให้แอมพ์มีเอกลักษณ์เฉพาะเรียกว่าลำโพงคู่เดียวกันฟังออกทันที
สรุป
ไม่ว่าคุณจะเลือกระบบใด แอมพ์นับเป็นส่วนสำคัญไม่แพ้ฟรอนท์เอนด์ หรือชุดลำโพงดังนั้นหากเลือกไม่แมทชิงกัน ก็จะได้คุณภาพเสียงไม่ตรงใจ ทำให้การฟังดนตรีไม่มีอรรถรสที่ผมเน้นอยู่เสมอคือ หาข้อมูล เปรียบเทียบทั้งลูกเล่น และราคา ก่อนตัดสินใจ ไม่ต้องรีบร้อนแล้วคุณจะเพลิดเพลินระหว่างรถติด
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพโดย : -
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : พิเศษ(cso)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/54306