ใส่สีใส่สัน
วิมานลอย
ในโลกของความบันเทิง เมื่อ 64 ปีที่ผ่านมา เดวิด โอ เซลซนิคส์ (DAVID O SELZNICKS)ได้สร้างภาพยนตร์ยอดอมตะไว้เรื่องหนึ่ง เป็นความอมตะที่ไม่มีวันตายมาจนกระทั่งบัดนี้ภาพยนตร์เรื่องที่กล่าวมานั้นคือ "วิมานลอย" (GONE WITH THE WIND)
การประกาศผลการตัดสินรางวัลออสการ์เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 1940 ที่ห้องโคโคนัท โกรฟ โรงแรมแอมบาสเดอร์ นครลอสแองเจลิส ภาพยนตร์เรื่อง "วิมานลอย" คว้ารางวัลไปด้วยกันทั้งหมด 8 สาขาจากการเสนอชื่อเข้าชิง 13 สาขา
สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม/ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม วิคเตอร์ ฟเลมิง (VICTORFLEMING)/ผู้แสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม วิเวียน ลีห์ (VIVIEN LEIGH)/ผู้แสดงสมทบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม แฮทที แมคเดเนียล(HATTIE McDANIEL)/บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซิดนีย์ โฮวาร์ด (SIDNEY HOWARD)/ถ่ายภาพยนตร์สี ยอดเยี่ยม เออร์เนสต์ ฮอลเลอร์ (ERNEST HALLER) และ เรย์ เรนเนแฮน (RAY RENNAHAN)/ลำดับ ภาพยอดเยี่ยม ฮัล ซี เคิร์น (HAL C KERN) และ เจมส์ อี นิวคอม (JAMES E
NEWCOM)/กำกับฝ่ายศิลป์ ยอดเยี่ยม เลล อาร์ วีเลอร์ (LYLE R WHEELER)
ผู้ประพันธ์นวนิยายเรื่องนี้คือ มาร์กาเรท มิทเชลล์ (MARGARET MITCHELL) ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าตลอดชีวิตของเธอได้ประพันธ์นวนิยายไว้แค่เรื่องเดียวคือ "GONE WITH THE WIND"
เรื่องราวที่ดำเนินในนวนิยาย เป็นประสบการณ์และความคิดตกผลึก มาร์กาเรท มิทเชลล์เป็นคนชอบขี่ม้าตั้งแต่เล็ก พอมาได้ยินได้ฟังแต่คำว่าสงครามกลางเมืองและแอทแลนทาบ้านเกิดของเธอก็เคยถูกมลพิษของสงครามกลางเมืองให้กลายเป็นสถานพยาบาล บำบัดรักษาทั้งทหารฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้และมารดาของเธอเสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสร้างความสลดใจให้กับบิดาจนล้มป่วยเรื้อรังเหตุการณ์ที่เกิดทั้งหมดนี้ได้ถูกนำมาประสมประสานกับการค้นคว้าจากห้องสมุด จนเกิดเป็น"วิมานลอย"
เดวิด โอ เซลซนิคส์ จึงกลายเป็นเจ้าบุญทุ่มเพราะการสร้างหนังเรื่องนี้ตลอดเวลาที่สร้างมีแต่ข่าวที่เพิ่มรสชาติให้กับการประชาสัมพันธ์ "วิมานลอย" เริ่มตั้งแต่คำถามที่ว่าดาราผู้แสดงนำฝ่ายหญิงคนใดจะเหมาะสมกับบทบาทของ สการ์เลทท์ โอ ฮารา (SCARLETT O'HARA) ไปจนถึง ความขัดแย้งระหว่าง คลาร์คเกเบิล (CLARK GABLE) กับผู้กำกับ จอร์จ คูเกอร์ (GEORGE CUKOR) จนทำให้ เดวิด โอ เซลซนิคส์เปลี่ยนตัวผู้กำกับเป็น วิคเตอร์ ฟเลมิง
THEME ของ "วิมานลอย" อยู่ที่ความรักอันผกผัน และสงครามชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งในห้วงเวลาวิกฤติของบ้านเมือง อาจจะน้ำเน่าไปบ้างแต่ มาร์กาเรทท์ มิทเชลล์ ก็สวนหมัดเด็ดไว้หลายประการนับแต่การสร้างบุคลิกของ สการ์เลทท์ โอ ฮารา
นางเอก "วิมานลอย" มิใช่กุลสตรีที่เดินออกมาจากหนังสือ "ผู้ดี"แต่เป็นผู้หญิงสามัญคนหนึ่งที่พบเห็นได้ทุกวันนี้ และสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัวของตัวเองแม้แต่การเข้าพิธีแต่งงาน สการ์เลทท์ ก็ล่อซะสามครั้งสามหนบนรากฐานแห่งเหตุผลส่วนตัวทั้งสิ้น
ครั้งที่หนึ่ง แต่งงานเพราะต้องการประชดประชันชายหนุ่มที่เธอรัก แอชลีย์ วิลค์ส (ASHLEY WILKES)
ครั้งที่สอง แต่งงานเพราะต้องการได้เงินมา ปลดโซ่ตรวนในเรื่องภาษีที่ดินให้กับ ทารา แผ่นดินที่เธอเกิดเช่นเดียวกับการแต่งงานในครั้งที่สาม ก็เป็นเพราะเงินเพื่อความอยู่รอด
สามครั้งในชีวิตแต่งงาน ไม่เป็นผลทำให้ผู้หญิงอย่างเธอ สการ์เลทท์ รอดพ้นจากความสำนึกธรรมดาๆของลูกผู้หญิงทั่วไป กับความรักแท้ต่อผู้ชายคนหนึ่งตลอดมาคือ เรทท์ บัทเลอร์ (RHETT BUTLER)เธอสำนึกได้ในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งก็สายเสียแล้ว
ความชัดเจนในบทบาทของ สการ์เลทท์ ถูกตอกย้ำโดยการแสดงออกของผู้หญิงอีกคนในท้องเรื่องเธอคือเมลานี แฮมิลทัน (MELANIE HAMILTON) แสดงโดย โอลิเวีย เดอ ฮาวิลแลนด์ (OLIVIA DEHAVILLAND) ซึ่งเป็นกุลสตรีชาวใต้แบบผู้ดีเต็มร้อยดำเนินชีวิตตามแบบฉบับตามจารีตประเพณีครบถ้วนแต่ก็มีความเด็ดเดี่ยวเมื่อชีวิตเข้าที่คับขัน
การพัฒนาตัวละครเอกของเรื่อง นับว่าเป็นความลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ สการ์เลทท์เริ่มจากเด็กสาวธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ไม่เคยสนใจเรื่องสงคราม ชอบความคิดสร้างสรรค์ เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปถึงตอนกลาง สการ์เลทท์ ก็ต้องผจญหน้ากับสงคราม ต่อสู้กับความยากลำบากเพราะพิษภัยแห่งสงครามและเมื่อสงครามสงบลง สการ์เลทท์ ก็ยังต้องสู้ชีวิตต่อไปกลายเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของชีวิต และอนาคต
"TOMORROW IS ANOTHER DAY" เป็นนัยสำคัญแห่งความหวังใหม่ในชีวิต
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า "วิมานลอย" จะยิ่งใหญ่เพียงไรแต่ลักษณะแห่งความเป็นภาพยนตร์ก็มิได้ลดถอยลงการสร้าง SUB-PLOT
ซ้อนเหตุการณ์เอกสะท้อนภาพแห่งสังคมอเมริกันระหว่างสงครามกลางเมืองภายในประเทศ
เป็นต้นว่าความฮึกเหิมของชาวใต้ที่คิดแต่ว่า จะต้องได้เป็นผู้ชนะเด็กหนุ่มพากันกระโจนเข้าหาสงครามโดยปราศจากความยั้งคิด เช่นเดียวกับ ชาร์ลส์ แฮมิลทัน (CHARLES HAMILTON)ผู้เสียชีวิตในสนามรบโดยที่ยังไม่ทันจะได้เห็นความโหดร้ายอย่างแท้จริงของสงคราม
แอชลีย์ ก็มีสภาพชีวิตไม่ต่างกับผู้คนที่ต้องล้มตายไปเพราะสงคราม เมื่อสงครามสงบ แอชลีย์กลับกลายเป็นอีกคนหนึ่ง จากที่เคยมีชีวิตปราดเปรียวในความคิดและหลักการ กลายเป็นคนที่มีแต่ร่างปราศจากชีวิตจิตใจที่เคยดำรงแม้แต่น้อย ได้แต่ปลงชีวิต และเลื่อนลอย หวนนึกถึงแต่ความหลังอันบรรเจิดที่ ทเวลฟ์ โอคส์
ฉากภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือภาพสะท้อนให้เห็นถึงสงครามได้ใกล้เคียงมากที่สุด เป็นตอนที่สการ์เลทท์ ไปตามหมอมาช่วยทำคลอดให้กับ เมลานีที่ต้องเดินผ่านทหารผ่านศึกผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ฉากในโรงพยาบาลที่แออัดและขัดสนอุปกรณ์
ภาพที่ทหารคนหนึ่งร้องขอความช่วยเหลืออย่างไร้ความหวังให้หมอช่วยตัดขาของเขาระลอกคลื่นแห่งความเศร้าสลด ลำดับชั้นของมันได้อย่างนิ่มๆ
ภาพสะท้อนอีกบทหนึ่งในรายละเอียดของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างนางเอกกับผืนดินที่มีนามเรียกว่า "ทารา" เสาหลักสุดท้ายของ สการ์เลทท์ชีวิตของเธอดูเหมือนจะลึกซึ้งอยู่กับ ทารา ตลอดเวลาเริ่มตั้งแต่คำพูดจากพ่อที่กล่าวให้เห็นถึงความสำคัญของผืนดิน จนถึงกลางเรื่องที่เธอสบถกับพระเจ้า"จะไม่ยอมหิวโหยและลำบากอีกต่อไป" ไปจนถึงช่วงสุดท้ายที่เธอต้องขอกลับไป ทาราเพื่อค้นหาสัจธรรมแห่งชีวิต
ผมชอบการตั้งชื่อเป็นภาคภาษาไทยของหนังเรื่องนี้ "วิมานลอย" ซึ่งในปีต่อมา มีภาพยนตร์ขาวดำชีวิตอีกเรื่องคือ WATERLOO BRIDGE แสดงนำโดย โรเบิร์ท เทย์เลอร์ (ROBERT TAYLOR) กับ วิเวียนลีห์ ก็ได้มีการตั้งชื่อได้ใกล้เคียงกับ "วิมานลอย" ว่า "วิมานรัก" ครับ
เรื่องโดย : จอสยาม
ภาพโดย : -
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ใส่สีใส่สัน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/54129