พิเศษ(formula)
เรื่องเล่าจากออสเตรเลีย
การเดินทางสู่ประเทศออสเตรเลียครั้งนี้ ผมไปในฐานะสื่อมวลชนตัวแทนจากประเทศไทยร่วมกับเพื่อนๆ สื่อมวลชนชาวต่างชาติอีก 12 คน ได้แก่ แคนาดา/สหรัฐอเมริกา/ฮอลแลนด์/ฝรั่งเศส/เซาธ์ แอฟริกา/ออสเตรเลีย/อิตาลี/เยอรมนี และสเปน เพื่อเข้าชมโรงงานผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ของ เออาร์บี ที่ประเทศออสเตรเลีย และร่วมใช้ชีวิตในพื้นที่ทุรกันดาร โดยเฉพาะในทะเลทรายอันร้อนระอุ
วันแรกของการเดินทาง เราได้เยี่ยมชม และทักทายผู้บริหาร และกรรมการบริษัท เออาร์บี ใน เมลเบิร์นและได้เห็นกระบวนการผลิต ผลิตภัณฑ์ เออาร์บี โดยละเอียด เช่น กันชน บูลล์ บาร์/ช่วงล่าง โอลด์แมน อีมู นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ของ เออาร์บี ยังพาไปชม ห้องออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมถึงวิธีการออกแบบชิ้นส่วนต่างๆ
จากนั้นเดินทางต่อโดยเครื่องบินเล็กภายในประเทศ ไปที่เมืองมิลดูรา (MILDURA) เพื่อรับรถสำหรับการเดินทางตลอดเวลา 12 วัน จากนั้นเดินทางไปที่เมืองโบรเคน ฮิลล์ (BROKEN HILL) ซึ่งเป็นเขตศูนย์กลางในการทำเหมืองแร่ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เพราะเป็นแหล่งของแร่ประเภทต่างๆ อาทิเงิน/ตะกั่ว และสังกะสี เป็นจำนวนมาก จนได้รับสมญานามว่า ซิลเวอร์ ซิที (SILVER CITY)
วันต่อมา เราออกเดินทางจากเมืองโบรเคน ฮิลล์ มุ่งสู่จุดหมาย คือ ที่ แคเมรอน คอร์เนอร์ (CAMERON CORNER) การเดินทางระหว่างเมือง จะเป็นถนนลูกรังกว้างประมาณ 7-8 ม. ซึ่งภาพเบื้องหน้า เส้นทางถนนที่เห็นจะเป็นถนนสุดขอบฟ้า มองไกลสุดลูกหูลูกตา และแวะรับประทานอาหารเช้าที่ เอลดี สเตชัน (ELDEE STATION) สถานที่แห่งนี่ทำให้เรารู้ซึ้งว่าออสเตรเลียมีแมลงวันเยอะมาก เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ต่างคนต่างแยกย้ายกันเชคสภาพรถ ดูลมยาง เติมน้ำมันรถของตัวเอง เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงออกเดินทาง ใช้ความเร็วบนถนนลูกรังประมาณ 120 กม./ชม.
แวะพักรับประทานอาหารกลางวันที่ แพคแซดเดิล (PACKSADDLE) ที่ วันทรี สเตชัน (ONE TREE STATION) ซึ่งเป็นไร่ปศุสัตว์ และฟาร์มเลี้ยงแกะที่ใหญ่มาก และที่นี่หลายคนทราบกันดีว่า มีรั้วกั้นหมาป่าที่ยาวที่สุดในโลก คือ 6,000 กม. ส่วนอาหารค่ำที่ ทไร สเตท (TRI STATE) เป็นผู้จัด และพักที่ คอร์เนอร์ สโตร์ (CORNER STORE)
เช้าวันต่อมา เรารับประทานอาหารเช้าสไตล์ดั้งเดิมของคนพื้นเมืองที่ คอร์เนอร์ สโตร์ ก่อนจะออกเดินทางไปที่ อินนามิงคา (INNAMINCKA) โดยใช้เส้นทาง ธิ โอลด์ สเตรเซลเลกคี (THE OLD STRZELECKI) เพื่อนๆ มีความสุขกับการพิคนิค มื้ออาหารกลางวันริมลำธารที่ คูเพอร์ ครีค (COOPER CREEK) สวยงามมาก ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ มีตำนานเล่าขานถึงนักเดินทางที่เสียชีวิตระหว่างการเดินทาง (เนื่องจากหลงทาง และเสบียงหมด) จากนั้น เราเดินทางต่อไปที่ วอลเคอร์'ส ครอสซิง ทแรค (WALKER'S CROSSING TRACK) เพื่อตั้งแคมพ์สำหรับพักแรม มื้อค่ำของคืนนี้ เรามีโอกาสได้รับประทานเนื้อจิงโจ้ อันแสนอร่อย
เช้านี้เราออกเดินทางไป เบิร์ดส์วิลล์ ทแรค (BIRDSVILLE TRACK) ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. โดยแวะทานอาหารกลางวันที่เบิร์ดส์วิลล์ เบเกอรี (BIRDSVILLE BAKERY) เมืองนี้เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ระหว่าง 2 ทะเลทราย คือ ทะเลทรายซิมพ์ซัน (SIMPSON DESERT) และ ทะเลทรายสตวร์ท'ส์ สโตนี (STURT'S STONY DESERT) เดิมเมืองนี้เป็นศูนย์กลางเส้นทางการส่งสินค้าปศุสัตว์ ปัจจุบันกลายเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เพราะมีป้ายโฆษณาเก่าๆ อยู่มากมาย
ช่วงบ่ายได้ชมพิพิธภัณฑ์ AMAZING BIRDSVILLE WORKING MUSEUM ที่นี่ทำให้เราย้อนเวลากลับไปในอดีต เพราะมีของสมัยโบราณให้เห็นอยู่มาก
วันนี้มีแผนจะไปพิชิตเนินทราย รับประทานอาหารเช้าที่ เบิร์ดส์วิลล์ มุ่งหน้าสู่จุดหมาย คือ บิก เรด (BIG RED) สถานที่ที่เราจะต้องเอาชนะเนินทรายอันสูงชัน ในทะเลทรายซิมพ์ซันด้วยความสูงถึง 36.5 ม. เหนือระดับน้ำทะเล ถือว่าเป็นวันที่ขับรถค่อนข้างลำบาก และรางวัลสำหรับความเหน็ดเหนื่อยของคืนนี้ คือ การได้ตั้งแคมพ์ทานอาหารภายใต้แสงดาว
เช้านี้เราจะเดินทางมุ่งหน้าต่อไปทางตะวันตก และล่องลงใต้ ผ่านทะเลทรายซิมพ์ซัน บนเส้นทาง วอร์เบอร์ทัน ทแรค (WARBURTON TRACK) แต่ปรากฏว่าน้ำท่วมกะทันหัน ทำให้ไม่สามารถเดินทางต่อได้ จึงย้อนกลับทางเก่า เพื่อจุดหมายสุดท้ายของเรา คือ โรงแรม มุนเกอร์รันนี (MUNGERANNIE HOTEL)
วันต่อมาเราเดินทางจากโรงแรม มันเกเรนี สู่ แมร์รี (MARREE) ผ่านลินด์เฮอร์สต์ (LYNDHURST) ซึ่งเป็นเมืองที่มีทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ แวะหยุดพักทานอาหารกลางวันที่โรงแรม พแรรี (PRAIRIE) ในพาราชิลนา (PARACHILNA) ซึ่งอาหารกลางวันวันนี้ เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ด้วยอาหารป่าแบบออสซี
ช่วงบ่าย ขับผ่านช่องแคบพาราชิลนา เราเห็นภาพที่สวยงาม ไม้สีแดง และหน้าผาสูงชัน จากนั้นขับรถผ่านไปที่บลินแมน (BLINMAN) ซึ่งเป็นเมืองเหมืองแร่ทองแดงเก่า และล้อมรอบด้วยเหมืองแร่เก่าแก่วิร์รีอัลพา สเตชัน (WIRREALPA STATION) ซึ่งเป็นสถานที่พักแรม 2 คืน และคืนนี้มีความสุขกับอาหารค่ำสไตล์เอาท์แบคของจริง โดยฝีมือการทำอาหารของครอบครัวฟาร์เกอร์ (FARGHER)
เช้าวันต่อมาขับรถเข้าไปเหมืองแร่ ถนนเส้นทางขรุขระ มี 2 เส้นทางด้วยกัน คือ วิร์รีอัลพา พื้นที่ 1,700 ตร. กม. และ เนเบอริง แอนโกรีไชนา สเตชัน (NEIGHBOURING ANGORICHINA STATION) พื้นที่ 554 ตร. กม. เส้นทางผสมผสานกันหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ชั้นหิน/ความสูงชัน และพื้นผิวที่ขรุขระ
วันต่อมาก่อนออกเดินทางจาก วิร์รีอัลพา มีโอกาสนั่งเครื่องบินเล็ก (ขนาด 4 ที่นั่ง) ชมบริเวณโดยรอบอาณาเขตที่เป็นของครอบครัวฟาร์เกอร์ แล้วจึงมุ่งหน้าไป โบรเคนฮิลล์ โดยใช้เส้นทาง ฮอว์เคอร์ (HAWKER) และ ออร์โรรู (ORROROO) ซึ่งเป็น 2 ชุมชน ทำไร่ และฟาร์มปศุสัตว์
เช้านี้เราเดินทางไปที่ศูนย์ควบคุมการแข่งขัน เอาท์แบค ชาลเลนจ์ (OUTBACK CHALLENGE) เพื่อฟังผล ว่าเส้นทางไหน ที่เราจะสามารถขับเข้าไปชม ริมขอบสนามแข่งได้ เมื่อทราบรายละเอียด รีบออกเดินทางสู่จุดที่แข่งขันทันที และรถที่เข้าแข่งขันต้องดีพร้อมทุกอย่าง ที่นี่เราได้เห็นความพยายาม/การชิงชัย รวมถึงการผลักดันตัวเองของนักแข่งทั้งหลาย เพื่อให้ผ่านพ้นข้อจำกัดไปให้ได้ แต่แล้วการแข่งขันก็ต้องหยุดลง เมื่อฝนเกิดตกหนัก
วันต่อมา เรากลับไปที่ศูนย์ควบคุมการแข่งขันอีกครั้ง เพื่อรอฟังว่า วันนี้เราสามารถเข้าชมที่ใดได้อีกแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะฝนยังตกหนัก วันนี้จึงออกเดินทางจากเมืองโบรเคนฮิลล์กลับไปที่เมลเบิร์น ระยะทางประมาณ 800 กม. ระหว่างทางเรานอนพักโรงแรม เช้าวันต่อมาจึงออกเดินทางจนถึงจุดหมาย คือ เมลเบิร์น
เมื่อมีวันแรกย่อมมีวันสุดท้าย ประสบการณ์ดีๆ ตลอด 12 วัน ได้ทั้งความสนุก ตื่นเต้น และความท้าทาย ที่ไม่มีโอกาสพบเจอได้บ่อยครั้ง
เรื่องโดย : สราวิทย์ วานิชสมบัติ
ภาพโดย : สราวิทย์ วานิชสมบัติ/ARB
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/53292