ชีวิตคือความรื่นรมย์
หนังสืออ่านเล่นทำให้ใจแตก
เด็กบ้านนอก (ใจแตกแหก) คอกนาอย่างผู้เขียน เป็นคนไม่เจียมตนในบางเรื่อง ชอบดิ้นรนอยากได้โน่นอยากเป็นนี่ เช่น ชอบอ่านหนังสือมาก แต่ไม่ค่อยมีให้อ่าน นอกจากหนังสือเรียนเก่าๆ ของพี่ที่เรียนแต่ชั้นประถม ดังนั้น เมื่อพี่สาวไปเรียนชั้นมัธยม (แบบเก่า) ในอำเภอเวลาพี่มีของฝากกลับบ้าน แม่กับพี่สาวจะทะนุถนอมกระดาษห่อของแผ่นโตๆ อย่างหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารเก่าๆ เพราะผู้เขียนจะโวยวายมากหากใครฉีกขาดโดยไม่ไยดี ด้วยว่ากระดาษห่อของเหล่านั้น อาจเป็น "เพลินจิตต์" หรือ "เริงรมย์" ซึ่งมีนวนิยาย หรือสารคดีน่าอ่านน่าสนใจมากสำหรับเด็กกำพร้าบ้านทุ่งผู้ขาดแคลน
สมัยที่พี่ชายคนโต ซึ่งเป็นจ่านายสิบตำรวจ พาไปเรียนชั้นมัธยมต้น (ม.๑-๒-๓) อยู่ที่โรงเรียนราษฎร์ "แสงมุกดา" อำเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม (สมัยปี 2490-2492) บ้านพักตำรวจอยู่ที่เขตเมืองใหม่ ซึ่งห่างจากตัวอำเภอประมาณกิโลเมตรกว่าๆ ผู้เขียนซึ่งเรียนอยู่ในตัวเมือง รับอาสาพี่ชายแวะไปรับหนังสือพิมพ์ เกียรติศักดิ์รายวัน (ถ้าจำไม่ผิด รท.สัมพันธ์ ขันธะชวนะ เป็นบก.) จากร้านหนังสือ ผู้เขียนก็ถือโอกาสเดินอ่านจากตัวอำเภอใหม่ กว่าจะถึงบ้านพัก ก็ได้อ่านแทบทุกตัวอักษรของหนังสือพิมพ์ 8 หรือ 10 หน้านั้นเรียบร้อย พอไปถึงบ้าน พี่ชายก็บ่นว่าทำไมกลับช้านัก แวะไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ร้านหรือใต้ร่มไม้ก่อนหรือไร เพราะพี่ชายกำลังติดตามเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างใจจดใจจ่อ
ยิ่งเวลาใกล้สอบ ขออนุญาตพี่ชายไปนอนค้างในเมืองกับเพื่อนสนิทที่เป็นเด็กวัด ปรากฏว่าสบโอกาสที่พี่สาวของเพื่อนอีกคน (ที่เป็นลูกชายนายตำรวจ) ไปกรุงเทพ ฯ เขาได้โอกาสแอบหอบหนังสือ ปิยมิตร มาให้อ่าน กำชับไม่ให้ยับ หรือฉีกขาดเป็นอันขาด เพราะถ้าพี่สาวจับได้ จะอดอ่านตลอดไป จึงเป็นความจำเป็นที่ผู้เขียนต้องรีบอ่านให้จบเร็วๆ แถมความสนุกตื่นเต้นของเรื่อง ทำให้ไม่ค่อยได้หลับได้นอน และไม่ได้อ่านหนังสือเตรียมสอบ
อาศัยเป็นคนหัวดี จึงเอาตัวรอดสอบได้เป็นที่ 1 (หรืออย่างน้อยก็เป็นที่ 2 รองจากเพื่อนหญิงคนน้ำใจงามนามสกุลแสนวิเศษ ซึ่งไม่ได้พบหน้ากันอีกเลยนับตั้งแต่ปี 2493 จนบัดนี้แต่ก็จำได้ว่าเธอแอบหนังสือนิทานแสนสนุก นิทานแสนสำราญ ซึ่งเธออ่านแล้ว เผื่อแผ่มาให้อ่าน เพราะตัวเองไม่มีสตางค์จะซื้อ)
นั่นคือ เหตุการณ์ที่ทำให้ติดใจในเรื่อง "อมรพิมาน" "ราชินีบอด" และติดใจนาม ผู้เขียนที่ชื่อ สุวัฒน์ วรดิลก นักประพันธ์ในดวงใจ ซึ่งนานถึง 40 ปีต่อมา จึงได้มีโอกาสไปทำงานใกล้ชิดในสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
ได้อ่าน และติดใจ (พาให้ใจแตก) ทั้งเรื่อง และนามปากกาอื่นๆ ในหนังสือนั้นในกาลต่อมาเช่น "บ้านทรายทอง" โดย ก. สุรางคนางค์ "ห้อตะบึงไปกับกองโจรฮ่อ-สงครามฝิ่น" โดย วรมิฏฐ์ วีรเศรษฐ์ "ก่อนจะสิ้นแสงตะวัน" และ"แผ่นดินนี้เป็นของใคร" โดย ศรีรัตน์สถาปนวัฒน์
ทำให้ชอบอ่าน "ตอบปัญหาชีวิต" (อาจจำชื่อคอลัมน์มาผิดก็ขออภัย เพราะ 57 ปีมาแล้ว) โดยขุนลีลาศาสตร์สุนทร ซึ่งตอนผู้เขียนเริ่มหนุ่ม นึกว่าเป็นชื่อ และบรรดาศักดิ์เช่นนั้นจริงๆ กว่าจะรู้ว่าเป็นนามปากกาของ สด กูรมะโรหิต เมื่อหลายสิบปีต่อมา
ทำให้ชอบการ์ตูนการเมืองฝีมือ โดย บันทัม และแบบบ้าน-ลายเส้นอันละเอียดพลิ้วงาม ของทอสส. ซึ่งคิดไม่ถึงมาตั้งนานว่าเป็นนามแฝงของ ทองเติม เสมรสุต จนกระทั่งตอนเป็นสาราณียกรคณะอักษรศาสตร์ ปี 2501 สุธีร์ คุปตารักษ์ พาไปแนะนำตัวที่บริษัทเมืองทอง (ที่ริมถนนเยาวราช ซึ่งคุณทองเติมทำประชาสัมพันธ์ที่นั่น) ขอให้เขียนปกหนังสือ "อักษรานุสรณ์" ฉบับมหาธีรราชานุสรณ์ 2501 ด้วยตนเอง พลอยให้ชอบข้อเขียนประกอบแบบบ้าน โดย สวิง พรหมจรรยา ซึ่งนานหลายสิบปีกว่าจะรู้ว่าเป็นนามปากกาของ ศักดิชัยบำรุงพงศ์ หรือ เสนีย์ เสาวพงศ์ หรือ กรัสนัย โปรชาติ หรือ โบ้ บางบ่อ ที่เป็น "นักเขียนอมตะ" ที่น่าเคารพตลอดกาล
สมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย (ปี 2493-2495) ที่โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย ประจำจังหวัดนครพนม (โรงเรียนนี้ไม่เขียน ปิยมหาราชาลัย ทั้งๆ ที่ชื่อโรงเรียนมาจากพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช เข้าใจว่าตอนจดทะเบียนชื่อโรงเรียนเจ้าหน้าที่คงเขียน "ปิยะ"มาเช่นนั้น) พี่สาวนาม อำภา สิงหะวาระ ซึ่งเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดประชาชน จะเป็นที่พึ่งของผู้เขียนกับเพื่อนๆ ที่แอบเก็บหนังสือพิมพ์ สยามสมัยสตรีสาร เดลิเมล์วันจันทร์ สกุลไทย ฯลฯ ไว้ให้พวกเราได้แวะไปอ่านก่อนกลับบ้าน (ผู้เขียนกลับวัด) ในวันที่หนังสือเหล่านั้นไปถึง
นับเป็นคุณูปการอันสำคัญต่อชีวิตผู้เขียนอย่างมากในกาลต่อมา เพราะพี่อำภาแท้ๆ ที่แนะนำให้อ่านคอลัมน์ "ผู้อ่านเขียนมา" แล้วยุให้เขียนส่งสตรีสาร เรื่องเล่าที่มีความยาวประมาณ 5-7 บรรทัด ได้ลงหนังสือเป็นครั้งแรกในชีวิต ทำให้แสนจะตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก ต้องเจียดค่าข้าวกลางวัน ซึ่งไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ไปซื้อมาเล่มหนึ่ง เก็บไว้ในกองหนังสือเรียนอย่างดี และแอบเอาออกมาอ่านครั้งแล้วครั้งเล่า น่าเสียดายที่จำไม่ได้ว่าเป็นเรื่องอะไร
แต่ที่ตื่นเต้นยิ่งกว่านั้น เมื่อไม่กี่วันต่อมา ก็ได้รับจดหมายจากสตรีสารที่แสนจะตื่นเต้น ที่จ่าหน้าซองถึงตัว พร้อมเชคไปรษณีย์มูลค่าจำไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่ามีเศษสตางค์ด้วย มันช่างเป็นชีวิตที่หอมหวานเสียนี่กระไร
จากสยามสมัยในปีโน้นๆ ทำให้หลงใหลเรื่องสั้น และนวนิยาย ตลอดจนสารดีดังๆ ได้ข้อคิดตรึงใจจากคอลัมน์ของ "ศุทธินี" แล้วต่อมากลายเป็น คอลัมน์ โลกและชีวิต โดย นิด นรารักษ์ซึ่งเมื่อก้าวเข้าไปเป็นนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (ตอนนั้น "กรณ" ยังไม่มีการันต์) ได้ยินรุ่นพี่ชี้ให้ดูว่า "อาจารย์สุทธิลักษณ์ (อำพันวงศ์) คนนั้นนั่นไงผู้ใช้นามปากกาว่าศุทธินี แล้วอาจารย์คนขาวๆ สวมแว่นคนโน้น คือ อาจารย์ประคิณ ชุมสาย ฯ หรือนิด นรารักษ์หรือ อุชเชนี ผู้เขียนกลอนที่เราเอามาท่องติดใจกัน"
โชคดีเหลือเกินที่เมื่อเข้าเรียนในปี 2499 นั้น คุณสาทิส อินทรกำแหง บรรณาธิการนิตยสารกะดึงทอง ที่หนุ่มสาวรุ่นเรากำลังติดหนึบ (พอๆ กับที่ติดนิตยสารชาวกรุง รายเดือนเล่มที่พี่ชายชาวพาณิชย์-บัญชีของจุฬา ฯ ชื่อ วิลาศ มณีวัต เป็นบรรณาธิการ) กับคุณสุข สูงสว่าง เจ้าของสำนักพิมพ์ดวงกมล พิมพ์หนังสือชื่อ ขอบฟ้าขลิบทอง (ชื่อแสนจะโรแมนทิค) รวมงานเขียนจากคอลัมน์ โลก และชีวิตของ นิด นรารักษ์ กับงานกลอนอันทรงพลัง ของ อุชเชนี ออกมาในต้นปีใหม่ 2500 จึงนอกจากพากันไปซื้อมาเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนในใจแล้ว เรายังพากระมิดกระเมี้ยนไปขอลายเซ็นจากอาจารย์ด้วยความปลื้มใจ และไม่เป็นการเยินยอเกินไปเลยที่ในปี 2536 อาจารย์ก็ได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์
ผู้เขียนไม่คาดคิดว่า นอกจากภูมิใจที่ตนแอบนึกเอาว่าเป็นศิษย์เพราะรักกาพย์กลอนของ อุชเชนีแล้ว อีก 12 ปีต่อมาจะได้ไปเป็นลูกน้องในฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทที่อาจารย์ไปริเริ่มตั้งหน่วยงานนั้นขึ้นมา ได้ไปทำหน้าที่บรรณาธิการในหนังสือ "สายสัมพันธ์" วารสารภายในองค์กรที่อาจารย์ ริเริ่มจัดตั้งขึ้น อาจารย์กรุณาเขียนคำนำในหนังสือรวมกลอนเล่มแรกให้ และที่สำคัญที่สุด นอกจากจะเป็นเสมือนกามเทพ หรือพรหมลิขิตที่ได้บันดาลชักพาให้ได้พบเนื้อคู่แล้วอาจารย์ยังเป็นเฒ่าแก่ที่เรารำลึกพระคุณไม่มีวันเลือนได้เลย
เรื่องโดย : ประยอม
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/53289