รู้ลึกเรื่องรถ
อีเลคทรอนิคส์ในรถยนต์...ยิ่งมากยิ่งแย่ ?
ในงานสัมมนาอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก ดร. ฟริทซ์ อินดรา (DR. FRITZ INDRA) ผู้เชี่ยวชาญ
และรับผิดชอบด้านระบบขับเคลื่อนของ เจเนอรัล มอเตอร์ส บริษัทรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งสหรัฐ ฯ
ได้เสนอหัวข้อและความเห็นที่ผมเห็นว่าสำคัญมาก และดูเหมือนจะยังไม่เคยมีผู้เชี่ยวชาญในระดับนี้
คนใดกล้าพูดมาก่อน นั่นคือ ระบบอีเลคทรอนิคต่างๆ ในรถยุคนี้นั้น ทั้งมากและยุ่งยากเกินไปแล้ว สมควร
ที่บรรดานักสร้างรถ จะชะลออัตราการนำมาใช้ และหันมาทบทวนหาจุดที่เหมาะสมกันใหม่ได้แล้ว
เรื่องหักมุมแบบสะท้านวงการแบบนี้ ได้ยินแล้วต้องขอพิจารณาก่อนครับ ว่าใครพูด และพูดทำไม เป็นนัก
การเมืองหาเสียง อยาก "ดัง" สร้างภาพโดยการหลอกลวงประชาชนหรือเปล่า ?
ดร. อินดรา คนนี้ไม่ธรรมดานะครับ เคยเป็นหัวหน้าวิศวกรพัฒนาเครื่องยนต์ให้ อัลพินา ซึ่งต้องเอา
เครื่องยนต์ บีเอม ฯ ซึ่งถือกันว่าดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว มาดัดแปลงแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง อยู่ได้ไม่กี่ปี
โรงงาน เอาดี ก็มา "ดึงตัว" ไปรับงานที่ใหญ่กว่า ผมจำไม่ได้ว่า อินดรา ทำงานให้ เอาดี อยู่กี่ปี แต่เดาไว้แล้วว่า
คงไม่ใช่ที่สุดท้าย แล้ว เจเนอรัล มอเตอร์ส ก็ส่งคนมาทาบทามไปรับตำแหน่งใหญ่ พร้อมเงินเดือนระดับทำงาน
3 ปี พอใช้ไปจนแก่ตาย โดยให้รับผิดชอบในการพัฒนาเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนของรถรุ่นใหม่และใน
อนาคตทุกรุ่นของ จีเอม ซึ่งครอบคลุมไปถึงรถ "ตรา" อื่นๆ ทั้งหมดที่ จีเอม กว้านซื้อไว้ทั้งในอดีตและปัจจุบันด้วย
เช่น ซาบ ฯลฯ
ดูชื่อเหมือนคนเยอรมัน แต่ ดร. อินดรา เป็นชาวออสเตรีย ประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาหลัก
พวกเราชาวไทยจะรู้จักประเทศนี้ค่อนข้างน้อย อาจเป็นเพราะรัฐบาลและผู้นำของเขาไม่ค่อย "ซ่า"
เหมือนหลายประเทศอุตสาหกรรมก็ได้ ออสเตรียเป็นประเทศรักสงบ ผู้คนพูดภาษาเยอรมัน
แต่อัธยาศัยดีกว่าชาวเยอรมันมาก คนไทยเรามักนึกถึงแต่คีตกวีอย่าง โยฮันน์ ชเตราสส์ ( JOHANN
STRAUSS) และ โมซาร์ท (MOZART) แต่ความจริงแล้ว วิทยาการด้านต่างๆ ของออสเตรียเจริญก้าว
หน้ามากครับ มหาวิทยาลัยตามเมืองต่างๆ ก็เข้มแข็งมากทางด้านวิชาการ และวิศวกรรมรถยนต์และ
เครื่องยนต์ ก็เป็นสาขาที่เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่ายอด คนไทยที่เรียนจบด้านวิศวกรรมจากประเทศนี้
จึงอยู่ในกลุ่มที่โชคไม่ดีอย่างมาก เพราะพอเอ่ยชื่อประเทศนี้ก็มักไม่ได้รับการยอมรับ
บางคนรู้จักแต่ประเทศออสเตรเลียก็มี เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่ประเทศที่ก้าวหน้าด้านวิศวกรรม
รถยนต์อย่างออสเตรียไม่มีโรงงานผลิตรถเก๋งดีๆ แม้แต่แห่งเดียวครับ วิศวกรที่เก่งด้านนี้ ก็เลยต้อง
ไปใหญ่โตก้าวหน้าในโรงงานรถยนต์ของเยอรมนีและประเทศอื่นๆ กันหมด ซอฟท์แวร์ที่ใช้ใน
การพัฒนาและทดสอบรถของโรงงานชั้นยอดในเยอรมนี ก็ซื้อมาจากออสเตรียจำนวนไม่น้อยครับ
กลับมาเข้าเรื่องอีเลคทรอนิคส์ของเรากันอีกที ซึ่งทราบกันดีว่ามันมีบทบาทมากขึ้นทุกทีในรถของ
พวกเรา มีการคาดกันว่า ในปี 2010 40 % ของต้นทุนของรถแต่ละคัน จะเป็นมูลค่าของระบบ
อีเลคทรอนิค ถึงจะไม่มีส่วนใดที่เคลื่อนไหว หรือเสียดสีกันเหมือนระบบกลไก แต่การทำงานของ
ระบบอีเลคทรอนิค ก็ยังต้องพึ่งพากลไก เช่นหน้าสัมผัสให้กระแสไฟฟ้าไหลหรือหยุด หัวเสียบที่
เชื่อมต่อให้กระแสไฟฟ้าไหลถึงกันได้ แต่ระบบอีเลคทรอนิคล้วนๆ ก็มีโอกาสเสียก่อนหมดอายุ
ได้เหมือนกัน เช่นจากความบกพร่องในกระบวนการผลิต
เราสามารถคำนวณหรือทำนายอายุใช้งานของระบบกลไกต่างๆ ได้ จากระยะทางหรือระยะเวลาที่ใช้
รถ แต่ไม่สามารถทำได้กับระบบอีเลคทรอนิค จากสถิติในต่างประเทศ ที่สะสมจากจำนวนรถที่มากพอ
และระยะเวลาที่นานเพียงพอ ปัญหาของระบบอีเลคทรอนิคส่วนใหญ่มาจากการชำรุดหรือบกพร่อง
ของอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า หรืออัลเทอร์เนเตอร์ หรือไม่ก็การเสื่อมและชำรุดของแบทเตอรี
เป็นต้นเหตุที่แท้จริงก่อน แล้วจึงทำให้ระบบนี้ชำรุดอีกต่อหนึ่ง เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ยาก แต่ผมเชื่อ
ว่าระบบอีเลคทรอนิคที่ชำรุดในรถของชาวไทยเราจำนวนไม่น้อย มาจากการชำรุดก่อนเวลาของ
แบทเตอรี ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ แต่กลับมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานสากลอย่างมากมาย
แบทเตอรีอะไรกันครับที่มีอายุใช้งานแค่ปีเศษ ? ผมว่ามันเป็นวิธีที่ทำให้พวกเราชินชา และยอมรับ
โดยไม่รู้ตัว ถึงเวลาที่กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์จะจริงจังกับเรื่องนี้แล้วครับ
ส่วนที่เป็นปัญหาในตัวของชิ้นส่วนเองจริงๆ ก็มี เพราะระบบที่ซับซ้อนของรถรุ่นใหม่ มักต้านการ
แปรเปลี่ยนของแรงเคลื่อนไฟฟ้า (VOLTAGE) ได้ไม่ดีนัก จึงชำรุดได้ง่าย ส่วนที่ใช้กลไกช่วยในการ
ทำงาน เช่น ชุดขับเคลื่อนซีดี อาจติดขัดหมุนไม่ได้ หรือ "หัวอ่าน" เคลื่อนจากตำแหน่งที่ถูกต้อง
หรือไม่ก็มีคราบ หรือฝุ่นจับ
ชิพส์ (CHIPS) ในระบบอีเลคทรอนิค ซึ่งไม่มีกลไกใด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ชำรุดนะครับ
โรงงาน โบช (BOSCH) ให้ข้อมูลว่า มันต้องมีอายุใช้งานอย่างน้อย 20 ปี หรือ 300,000 กม. ของการ
ใช้รถ แต่ก็มีโอกาสเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ความชื้น แผ่นวงจรแตกร้าว
ซอฟท์แวร์ของระบบเหล่านี้ ก็สร้างปัญหาได้ไม่น้อยครับ ส่วนใหญ่จะเกิดในรถปีแรกที่เพิ่งออกจำหน่าย
ของรุ่นล่าสุด ซึ่งแม้โรงงานจะทดสอบกันมาพอสมควรแล้วก็ยังไม่รอด เพราะเป็นการทำงานร่วมกัน
หลายระบบ
ถ้าเราดูสถิติรถไว้วางใจได้ในต่างประเทศ จะเห็นรถญี่ปุ่นนำโด่งอยู่หัวแถวเป็นประจำ โดยเฉพาะ โตโย
ตา และ ซูบารู ซึ่งต้องยอมรับว่าการควบคุมภาพหรือ คิวซี (QC) ของเขาดีเยี่ยมจริงๆ แต่อาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวที่
ทำให้ครองตำแหน่งเหล่านี้ เพราะรถญี่ปุ่นเหล่านี้ ที่จำหน่ายนอกประเทศจะไม่มีอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ล่า
สุด เช่น เซนเซอร์ที่สั่งการให้ใบปัดน้ำฝนทำงาน หรือระบบสั่งงานด้วยภาษา ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นส่วนที่มีโอกาสบก
พร่องสูง ต่างจากรถเยอรมนี ที่ยอมเสี่ยงให้ลูกค้าได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
อีกปัญหาหนึ่งที่น่าเป็นห่วงมากก็คือ จะทำอย่างไรกับรถยุคนี้ในอีก 20 ปี ข้างหน้า เพราะหลายรุ่นจะ
ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้รถหรือนักสะสมรถเก่า เท่าที่เห็นไม่มีการคำนึงถึงอะไหล่ของระบบอีเลคทรอ
นิค จากบรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้ให้แก่โรงงานผลิตรถ ดูเหมือนจะมีโรงงาน เฮลลา (HELLA) รายเดียวที่
คำนึงถึงปัญหานี้ในอนาคตครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/53151