ชีวิตคือความรื่นรมย์
เมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว
ข้าพเจ้าไม่ค่อยแปลกใจที่คนรุ่นใกล้เคียงข้าพเจ้า ที่เกิดมาใกล้เคียงกับอายุรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
และฉบับถาวร (10 ธันวาคม 2475) ต่างสามารถร้องเพลง (หรืออย่างน้อยก็คุ้นทำนองเพลง) พระ
ราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (อัครศิลปิน มหาอัจฉริยะด้านดุริยางค
ศิลป์) ได้ แม้ไม่ทุกเพลง ก็จำได้หลากหลายเพลง แล้วแต่ความเป็นนักนิยมเพลง ที่มีองศาต่างๆ กัน
แต่ข้าพเจ้าอดแปลกใจไม่น้อยนักร้องที่เป็นที่นิยมในยุคปัจจุบันหลายๆ คน ตอบคำถามที่พิธีกรถาม
ทางโทรทัศน์ว่าไม่ค่อยจะรู้จักชื่อ ทำนอง หรือบางประโยคบางสำนวนในเพลงพระราชนิพนธ์ของ
ล้นเกล้า ฯ ได้
ได้ฟังครั้งไรก็อดเศร้าใจไม่ได้ ทั้งคนถาม และคนที่ตอบ ก็ช่างกระไร เพียงแต่จะเตรียมการ (เตี๊ยม)
ล่วงหน้าสักเล็กน้อย ก็จะไม่ปล่อยไก่ให้น่าเกลียดเช่นนั้น...!
ทีเพลงบ้าๆ บอๆ ไม่เอาไหน ไม่เฉียดภาษากวีเลย กลับจำ พูดได้ฉอดๆ เป็นฉากๆ และสามารถแหก
ปากตะโกน และสำรากออกมาได้หลายเที่ยว ทั้งๆ ที่ถ้อยคำก็ไม่มีสัมผัสให้เพราะพริ้งชวนจดจำ บาง
เพลงยังเป็นภาษา "ดิบๆ" ปล่อยออกมาแล้ว "โดนใจ" คนรุ่นใหม่ก็เป็นได้
แต่ถ้าเชื่อตามคำพังเพยที่บรรพชนไทยว่าไว้ว่า "ลางเนื้อชอบลางยา" (เนื้อของคนบางคนถูกกับยาบาง
ชนิด หรือ ยาบางชนิดสามารถรักษาเนื้อที่เป็นโรคของคนบางคนหาย ทั้งๆ ที่ยาชนิดเดียวกันนั้น รักษา
โรคชนิดเดียวกันของอีกคนไม่หาย) เราก็คงว่า ยุคใครก็ยุคใคร...เพลงที่ได้รับความนิยมจากคนในยุค
หนึ่งอาจไม่ "ต้องรสนิยม" ของคนอีกยุคหนึ่ง
แต่สำหรับเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นเพลงสากล
สไตล์แจซซ์ แม้เพลงตระกูลแจซซ์จะเป็นเพลงเก่ามากๆ แต่เพลงสไตล์นี้นับว่าแปลก เพราะจะเปลี่ยนวิธี
บรรเลง และร้องอย่างไร ก็ไม่ล้าสมัย
นับว่าเป็นพระปรีชาญาณ หรือความเป็นอัจฉริยะของพระองค์ที่ทรงพระราชนิพนธ์ตระกูลนี้ ทุกเพลงที่
มี ทั้ง 47 เพลง กล่าวได้โดยจริงใจว่าไม่เป็นเพลงที่ล้าหลัง(2)คือ ฟังและร้องได้ไม่รู้เบื่อ แม้ว่าหลายๆ เพลง จะร้องให้ต้องทำนองได้ยาก หากมิใช่นักเพลงที่ร้องเป็นและเล่นดนตรีได้เชี่ยวชาญ
น่าแปลกแท้ๆ ที่ในยุคที่โลกมีสงคราม และส่วนลึกในวิญญาณของชนชาวไทยยังวิตกกังวลถึงสงคราม
โลก และการสูญเสียพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งไปไม่นานนัก ประกอบกับอยู่ๆ ก็ได้ข่าวอันเป็นที่
ตระหนกตกใจยิ่ง คือ การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ทรงประสบอุบัติเหตุรถพระที่นั่ง การรอคอยสิ่งที่จะมาเยียวยาจิตใจคนไทยกลับเริ่มขึ้นทีละน้อย จากข่าวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหมั้นกับสุภาพสตรีสูงศักดิ์ และเป็นเชื้อพระวงศ์ ต่อมาก็มีสิ่งที่งดงามไพเราะมาให้คนไทยได้ชื่นชมทีละน้อยๆ
นั่นคือ เพลงพระราชนิพนธ์ที่ปรากฏมาปลอบประโลมวิญญาณไทยหายทุกข์โสก กลับสดชื่นรื่นรมย์
มากขึ้นทุกที หากนับตามตำนานที่ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงแรกที่เป็นทำนองเพลงบลูส์ คือ "แสงเทียน" (ปี
2489) แต่คนไทยดูเหมือนจะรู้จักหลังเพลง "ยามเย็น" (จังหวะฟอกซ์ทรอท) เพลงที่สอง และเพลงที่คนไทยชื่นใจเหมือนดั่งเนื้อร้อง และทำนองอันสดใสรื่นรมย์ยิ่ง คือ เพลง "สายฝน" (จังหวะวอลท์ซ์) เพลงที่สามมากกว่า เพลง "สายฝน" นี้เสมือนเพลงประจำพระองค์ หรือเสมือนสัญลักษณ์ประจำพระองค์ เวลาได้ยินเพลงนี้คราวใด จิตใจคนไทยก็สดชื่นเบิกบานเหมือนฟ้าประทานสายน้ำทิพย์จากฟากฟ้ามาดับทุกข์ร้อนของมวลมนุษย์บนพื้นหล้า ต่อให้คุ้นเคยกับเนื้อร้อง และทำนองเพลงนี้สักเพียงไหน คนไทยก็ไม่รู้สึกจางจากความระรื่นชื่นใจ จากเพลงสายฝนได้เลย
"เมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว ต้นไม้พลิ้วลู่กิ่งใบ เหมือนจะเอนรากคลอนถอนไป แต่เหล่าไม้ยิ่งกลับงาม
พระพรหมท่านบันดาลให้ฝนหลั่ง เพื่อประทังชีวิตมิทราม น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม
ทั่วเขตคามชุ่มธารา สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวทุ่ง แดดทอรุ้งอร่ามตา รุ้งเรืองรายพร่างพรายนภา
ยามเมื่อฝนมาแต่ไกล พระพรหมช่วยอำนวยให้ชื่นฉ่ำ เพื่อจะนำดับความร้อนใจ น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟ้าแดนไกล พืชพันธุ์ไม้ชื่นยืนยง"(3)ยากจะกล่าวให้ครบถ้วนจากใจได้ว่าเพลงพระราชนิพนธ์ทุกเพลง นอกจากทำนองที่ซาบซึ้งจรุงใจแล้ว เนื้อร้องนั้น แม้ว่าจะมีผู้อื่นทรงนิพนธ์ (เช่นหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ) และผู้นิพนธ์คนอื่น (เช่น ศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา และนายสุภร ผลชีวิน ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ฯลฯ ) แต่ก็ต้องได้ผ่านพระราชวิจารณ์ และทรงแนะนำแก้ไขจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกเพลงกว่าจะลงตัวได้ ดังนั้นเนื้อร้องทุกเพลง นอกจากจะไพเราะงดงามด้วยภาษากวีชั้นเยี่ยมแล้ว ยังมีปรัชญาแทรก และไม่ล้าสมัย ตรงกันข้ามกลับเป็นปรัชญาที่ทันสมัย ฟังแล้วได้ข้อคิดทุกกาลสมัยอย่างที่เรียกว่า "อกาลิโก"
อย่างเช่น "ได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ไกลๆ ชุ่มชื่นฤทัย หวานใดจะปาน ยินเสียงบรรเลงดั่งเพลงขับ
ขาน จากทิพย์วิมาน ประทานกล่อมใจ..." (เพลง "ใกล้รุ่ง" พระราชนิพนธ์พระราชทานสมาคมส่งเสริมการ
เลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย บรรเลงเป็นปฐมฤกษ์ในงานของสมคม ฯ เมื่อ 4 มิถุนายน 2489)
หรือ "...โอ้ชีวิตหนอ เหมือนรอความตายทุกคน หลีกไปไม่พ้น ทุกคน* อาทรร้อนใจ เกิดแล้วตายไป ชด
ใช้เวรกรรมจากจร นิจจังสังขารไม่เที่ยง เสี่ยงบุญกรรม ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน.." (เพลง "แสงเทียน")
(*ทุกข์ทน ?)
ลักษณะวิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ เพลงพระราชนิพนธ์ต่างๆ นั้น จะมีทั้งเนื้อร้องภาษาไทยและอังกฤษ
และอาจมีลีลาต่างกัน ความหมายคนละอย่างในเนื้อเพลงที่ต่างภาษากัน ดังเช่นเพลง "ชะตาชีวิต" ที่
ศ. ดร. ประเสริฐ ณ นคร แต่งเนื้อไทย โดยไม่เคยทราบมาก่อนว่า เพลง H.M. BLUES นั้น เนื้อภาษาอังกฤษ
และลีลาเพลงเป็นทำนองอย่างไร ทราบแต่ว่าเป็นเพลงบลูส์ และชื่อเพลงก็ชวนให้คิดเช่นนั้น ท่านจึง
แต่งเนื้อร้องออกไปทางค่อนข้างเศร้า แต่ในพากย์ภาษาอังกฤษกลับเป็นเพลงสนุกสนาน (H.M.
BLUES ซึ่งคนเข้าใจว่ามาจาก HIS MAJESTY 'S BLUES หรือ เพลงบลูส์ของพระเจ้าอยู่หัว แต่ที่แท้ พระองค์ทรงมีพระอารมณ์ขันล้อเลียนว่า HUNGRY MEN 'S BLUES เพลงบลูส์ของคนหิวข้าว เพราะระหว่างที่นักดนตรี นักร้อง บรรเลงเพลงให้คนฟังกำลังรับประทานด้วยความสุข และสนุกสนานนั้น นักร้อง
นักดนตรีก็ดูคนอื่นรับประทานด้วยอาการหิว !! )@
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/53132