ร่มไม้ชายศาล
โรงงานรถทำเหตุ
สิ่งหนึ่งที่เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายเจอเข้ากับตัวเอง หรือรับรู้จากสื่อต่างๆ จนเกิดความเซ็งอย่างสุดๆ บาง
รายร่ำๆ จะยื่นใบลาออกจากการเป็นพลเมืองของสยามประเทศก็มี
นั่นคือการ "ตีลูกเฉย" ของหน่วยงานราชการต่างๆ ในประเทศนี้ เมื่อได้รับการอ้อนวอน ร้องขอ ขอ
ร้อง ร้องเรียน ให้ช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของหน่วย
งานนั้นๆ
ตัวอย่างที่เห็นซ้ำซากทางทีวี คือ กรณีชาวบ้านโอดโอยร้องขอให้ซ่อมถนนหนทาง โดยเฉพาะที่อยู่
ตามต่างจังหวัด หรือแม้กระทั่งในเมืองกรุง เมื่อทางการไม่เหลียวแลเหลือทนทางสุดท้าย ดิ้นรนให้
สื่อมวลชนช่วยประจาน ช่วยโวย
ยังมีปัญหาเดือดร้อนอื่นๆ อีกมากมาย ที่เป็นยอดฮิทอีกอย่าง คือ "ภัยจากโรงงาน" น้อยใหญ่ในชุมชน
ต่างๆ ส่วนใหญ่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ เพียรร้องขอความช่วยเหลือจากทางการในขั้นโหยหวน...
ยาวนาน...แทบทั้งสิ้น
การร้องขอ ส่วนใหญ่ชาวบ้านต้องตะเกียกตะกายไปหลายหน่วยงาน ทั้งส่งหนังสือทั้งไปด้วยตนเอง
บางกรณีต้องนับนิ้วมือบวกนิ้วเท้าไม่รู้กี่แห่งต่อกี่แห่ง และใช้เวลายาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ กว่าจะ
สำเร็จบ้างในบางราย และไม่สำเร็จเลย จนกระทั่งหมดแรงร้องขอ
ผมยังเจอกับตัวเอง เคยร้องขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกองค์
การบริหารส่วนตำบล เจ้าหน้าที่กรมทาง ฯ ให้ท่านดูแลซ่อมแซมถนนเส้นหนึ่งซึ่งอาจมีขบวนสำคัญ
ผ่านไปมา ถือว่าไม่ใช่เส้นทางธรรมดา แล้วรู้เช่นเห็นชาติกับการเพิกเฉย ไม่สนใจ ไม่จัดการเป็นเวลา
แรมปี จนกระทั่งบัดนี้ก็ไม่ได้ซ่อมอย่างจริงจัง ซ่อมบ้างแบบขอไปที จนผมท้อ และใช้คำว่า
"ช่างแม่งมัน"
เจอกับตัวเองแค่งานเดียวนับว่าเกินพอ และนึกถึงความยากลำบาก ความชอกช้ำระกำใจของพ่อแม่
พี่น้องทั้งหลาย ที่ได้สัมผัสกับอากาาร "เพิกเฉย" ของทางราชการ ต่อการร้องขอของชาวบ้าน ชนิดนับ
รายไม่ถ้วน
วิธีปัดความรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยมีอยู่หลายอย่าง อาทิเช่น
เฉยแม่งลูกเดียว เงียบลูกเดียว ไม่ตอบสนอง ไม่มีคำตอบ ยิ่งร้องด้วยหนังสือ หรือส่งไปทางไปรษณีย์
ยิ่งเข้าทาง อยู่ในสภาพเหมือนโยนลงส้วม เงียบหายไปเฉยๆ ไม่ว่าจะร้องไปกี่แห่งกี่หนก็ตาม วิธีการนี้
หน่วยราชการของเรายังปฏิบัติ
ปัดความรับผิดชอบ อ้างว่าไม่มีอำนาจ ไม่ได้เกี่ยวข้อง
โบ้ยต่อ ให้ไปร้องขอกับคนนั้นคนนี้ที่นั่นที่นี่แบบส่งเดช หรือตีหน้ายักษ์ว๊ากเข้าใส่
เตะลูกออกแม้จะโดนไล่ต้อนว่าอยู่ในความรับผิดชอบ อ้างง่ายๆ ว่า งานนั้นโอนความรับผิดชอบไป
ยังหน่วยงานอื่นแล้ว โกหกดื้อๆ ยังงี้ก็มี หรือรับโอนงานมาแล้วแท้ๆ แต่กล้าตอแหลว่างานยังอยู่กับ
หน่วยเดิมอั๊วไม่เกี่ยว
อ้างไม่มีงบประมาณ ไม่มีโครงการ ซึ่งเป็นไม้ตายอย่างหนึ่ง ทั้งๆ ที่หน่วยงานนั้นๆ เอาเงินต่างๆ เช่น
งบ ซีอีโอ ไปทำอีลุ่ยฉุยแฉกอย่างอื่นให้เห็นตำหูตำตา
เมื่อบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบด้วยวิธีอื่นจนหมดมุก มักเล่นไม้สุดท้าย คือ ผัดวันประกันพรุ่ง อ้างรองบ รอผู้มี
อำนาจสั่งการ รอไอ้นั่นไอ้นี่ ผัดหนักๆ เข้าจนแต้ม ก็ผ่อนแรงกดดันด้วยการอ้างว่า ตั้งงบแล้ววางโครง
การแล้ว หรืออ้างดุ่ยๆ ว่าดำเนินการให้แล้ว จัดการให้แล้ว แต่จนแล้วจนรอดไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไร
ดีขึ้น
ครับ พฤติการณ์ของข้าราชการในบ้านเรายังดำรงคงอยู่ในเรื่องที่ว่ามาข้างต้น จนเป็นที่เอือมระอาของ
ชาวประชาไม่น้อย ยังดีที่มี "ศาลปกครอง" เป็นที่พึ่งบ้างในระยะหลังๆ ไม่งั้นวังเวงเต็มที
ทั้งหลายทั้งปวงขึ้นอยู่กับความเข็มแข็ง เข้มงวด ของรัฐบาลเป็นสำคัญ ขึ้นชื่อว่าหน่วยราชการของเรา
ถนัดเช้าชามเย็นชามอยู่แล้วนั่นเอง
ตานี้มาดูชมคดีที่ชาวบ้านไปพึ่งศาล แต่เป็นศาลธรรมดา หรือศาลแพ่ง จะได้รู้ว่าเป็นหนทางที่พึ่งได้
มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ?
เป็นเรื่องของชาวบ้านทนทุกข์ทรมานจากโรงงานต่อโครงหลังคารถยนต์แห่งหนึ่ง เมื่อขอให้เจ้าหน้าที่
หน่วยต่างๆ เข้ามาควบคุมดูแลแก้ไขไม่สำเร็จ กระทาชาย "นายบริสุทธิ์" กับ "นายสะอาด" ทนไม่ไหว
ลงขันร่วมกันจ้างทนายฟ้องไปที่ศาล
คำฟ้องบรรยายความทุกข์ร้อนค่อนข้างครบครัน บอกว่า "นายห้วย" กับพวกรวมสองคน ทะลึ่งตั้ง
โรงงานในที่ชุมชนใกล้บ้านของพวกตน และคนอื่นๆ ก่อความเดือนร้อนรำคาญด้วยการทุบเหล็ก ทุบ
อลูมิเนียม เลื่อยเหล็ก โยนเหล็ก เคาะเหล็ก ดังก้องเข้าไปในบ้านของพวกตน การเจียระไนเหล็ก
ก็ส่งเสียงแหลมจนแก้วหู ประสาทหูชา ทำให้หูตึง แถมยังใช้น้ำยาเคมี ทินเนอร์ ล้างสี พ่นสี เกิด
ละอองสีฟุ้งกระจายส่งกลิ่นเหม็น ทำให้ นายบริสุทธิ์ กับ นายสะอาด เป็นโรคภูมิแพ้ แสบตา แสบ
จมูก แสบคอ เจ็บหน้าอก เสียงแหบแห้ง สุขภาพอนามัยทรุดโทรม อยู่กินหลับนอนตามปกติสุขไม่ได้
ทุกข์ทรมานสาหัส ขอให้ศาลห้ามจำเลยทำโครงหลังคารถยนต์ เทนท์ผ้าใบ งานเกี่ยวกับเหล็ก อลูมิ
เนียม ที่ก่อให้เกิดเสียงดัง และการพ่นสีส่งกลิ่นเหม็น ตบท้ายขอให้ศาลบีบคอให้จำเลยย้ายโรงงาน
ไปตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรม หรือสถานที่อื่นตามที่ศาลเห็นสมควร ให้ห่างไกลจากบ้านของโจทก์
ทั้งสอง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่พวกตน 2 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหายเป็น
รายเดือนๆ ละ 1 หมื่นบาท จนกว่าจะหยุดทำละเมิด
จำเลยกอดคอกันสู้คดี โต้กลับว่า พวกตนประกอบกิจการอย่างระมัดระวัง มีบ้านเรือนของ
ชาวบ้านอยู่รายรอบโรงงานแต่อยู่กันอย่างปกติสุข ไม่มีครอบครัวใดได้รับความเดือดร้อนจาก
พวกตน สำนักงานอตุสาหกรรมจังหวัดยังออกใบอนุญาตในการประกอบกิจการโรงงานให้
ด้วยซ้ำ จึงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นตัดสินให้นายห่วยเอ๊ยนายห้วยกับพวก จ่ายค่าเสียหาย 24,000 บาท โดยไม่มีค่าเสียหาย
เป็นรายเดือน พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ และห้ามกระทำการใดๆ ซึ่งก่อให้เกิดเสียงดังและพ่นสีส่งกลิ่น
เหม็น ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่โจทก์ทั้งสอง คำขอให้ย้ายโรงงานให้ยก
โจทก์ยังไม่หนำใจ ยังไม่ได้ตามต้องการ จึงยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์เข่นให้หนัก เลขที่ออก คือ
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าศาลชั้นต้นตัดสินเบามือไปหน่อย จึงพิพากษาแก้เพิ่มค่าเสียหายให้
50,000 บาท นอกนั้นคงเดิม
นายบริสุทธิ์ กับ นายสะอาด กอดคอกันเล่นเกมยาวด้วยการยื่นฎีกา เพราะอยากให้โรงงานย้ายออกไป
ศาลฎีกาคลำคดีนี้อยู่ไม่นานจึงชี้ขาดออกมาว่า
การกระทำของ นายห้วยกับพวก เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่อนามัย และเดือดร้อนรำคาญ
เข้าข่ายละเมิด จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายแพ่ง ฯ มาตรา 420 โจทก์ทั้งสองยังมีสิทธิ
ปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหาย หรือเดือดร้อนรำคาญให้สิ้นไป โดยไม่ลบล้างสิทธิที่จะเรียกเอาค่าทด
แทนตามมาตรา 1337 อีกด้วย ศาลอุทธรณ์ตัดสินมาถูกทางแล้ว
ส่วนการร้องขอให้เฉดโรงานออกไปจากที่เดิม ศาลฎีกาแทงว่า ศาลได้กำหนดให้จำเลยไม่กระทำการ
ที่ก่อให้เกิดเสียงดัง และพ่นสีส่งกลิ่นเหม็น ฝ่าฝืน โจทก์ร้องขอให้บังคับคดีได้ ความเดือดร้อนน่าจะ
หมดไป เท่ากับศาลได้ช่วยเยียวยาแก้ไข้ให้แล้ว
เรื่องที่จะบังคับให้จำเลยย้ายโรงงานออกไป ถ้าไม่ถูกต้อง นั่นเป็นการละเมิดต่อรัฐอีกสถานหนึ่ง เจ้า
หน้าที่ของรัฐมีหน้าที่กำกับดูแลรับผิดชอบต่างหากออกไป นายบริสุทธิ์ กับ นายสะอาด ไม่มีสิทธิ์
บังคับถึงขนาดนั้น
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน
งานนี้ฝ่ายโจทก์น่าจะโอเคได้ผลชนิดที่ทางการเขาชอบใช้ คือ ได้ผลในระดับหนึ่ง เพราะศาลได้มีข้อ
บังคับไว้ด้วย ไม่ให้ นายห้วยกับพวก ก่อความเดือดร้อนแก่โจทก์ นายห้วยกับพวก ต้องหาทางแก้ไข
ให้สำเร็จ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน หากฝ่าฝืนโจทก์ ขอให้ศาลออกแรงบีบเค้นได้ ยังฝ่าฝืนอีก ศาล
เอาตัวมาคุมขังได้นั่นเทียว
สำหรับการร้องขอให้ย้ายโรงงานออกไป แม้ศาลจัดการให้ไม่ได้ นายบริสุทธิ์ กับ นายสะอาด ก็ยังมี
ทางไปร้องต่อเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม หากเจ้าหน้าที่ละเลยไม่แก้ไขให้
ตามสมควร ก็ไปขึ้นศาลอีกได้ แต่เปลี่ยนที่ซะหน่อย คือ ศาลปกครองนั่นเอง
การทำมาหากินเกี่ยวกับโรงงานนั้น ต้องวางแผนให้ดี อย่าตั้งโรงงานส่งเดช พอมีชาวบ้านแห่มาอยู่ใกล้ๆ
มักจะลำบากทุกราย ลำบากทุกฝ่าย อย่างที่เห็นในคดีนี้แล
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8309/2548
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/53126