ร่มไม้ชายศาล
อายุความที่ต้องรู้
ถ้าชาวบ้านอย่างเราๆ ท่านๆ ซึ่งไม่มีเงินถุงเงินถัง ไม่ได้เป็นนักการเมืองไทยที่มากด้วยผลประโยชน์และฤทธิ์เดช ชักนำประชาชนซ้ายหันขวาหันได้ตามใจชอบ แน่นอน อยากได้รถใช้สักคัน เพื่อหนีรถขนส่งมวลชน เดินทางไปไหนด้วยพาหนะของตนเอง เล่นเอาถนนไม่มีจะวิ่ง ย่อมหนีไม่พ้นการ "ส่งงวด" แล้วลุ้นระทึกว่าจะรอดสันดอนหรือไม่
ต่อไปนี้ คือ คดีความที่ชี้ให้เห็นถึงภาระอันหนักอึ้งของนักเลงผ่อนรถ ทราบแล้วจะได้ระวังตัวกลัวภัย ขยันทำมาหากินเพื่อส่งงวดให้จบ ไม่งั้นเจอกันที่ศาลอย่างเช่นคดีนี้
"นายวาสนา" ทำมาหากินอะไรไม่รู้ ที่แน่ๆ คือ ไม่ได้เกี่ยวข้องเรื่อง กกต. ที่ทำงานไม่ประทับใจ จอร์ช และคนไทยกำลังจะฆ่ากันเพราะเขาเหล่านั้น แต่สื่อโดนด่า นายวาสนา ไม่มีเงินถุงเงินถัง จึงต้องกัดฟันเช่าซื้อรถยนต์จาก "บริษัท เงินหนา จำกัด" ราคา 3 แสนเศษ ผ่อนส่งเดือนละเกือบหมื่นบาท งานนี้ส่งงวดได้ 5 เดือนก็เสร็จโก๋ หาเงินไม่ทัน ถูลู่ถูกังใช้รถแบบหลบๆ ซ่อนๆ ได้พักหนึ่ง บริษัทเงินหนา ก็ตามไปยึดรถ
นายวาสนา ต้องลาออกเอ๊ย เดินย่ำต๊อกโหนรถเมล์ไปตามเรื่อง ใจคอไม่ดีเกรงว่า บริษัทเงินหนา ตามเชค บิลล์ จริงดังคาด นายวาสนา กับพวกซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันโดน บริษัทเงินหนา ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่ง อ้างว่ารถที่ยึดมาจาก นายวาสนา มันโทรม ประมูลขายได้เงินแค่ 2 แสนกว่าบาท บริษัทขาดทุนเสียหายตั้ง 5 หมื่น และขาดประโยชน์ไม่ได้เอารถออกให้เช่าตั้ง 171 วัน ระหว่างที่ นายวาสนา ครอบครองรถโดยไม่ผ่อนส่ง คิดแล้วไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท รวมเป็นเงินส่วนนี้ 51,300 บาท เบ็ดเสร็จ นายวาสนา กับพวกต้องรับผิด 104,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี
พรรคพวกอยู่เฉยๆ ไม่สู้คดีไม่ทำอะไร ซึ่งมักจะเป็นเรื่องปกติของคนค้ำประกันทั่วไป ส่วน นายวาสนา กัดฟันสู้ อ้างว่าฟ้องขาดอายุความไปแล้ว ขอให้ศาลช่วยยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วตัดสินให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 57,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าว
นายวาสนา ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง โดนฟ้องบังคับให้จ่ายเงินแสนกว่าบาท ศาลชั้นต้นลดเพดานลงเหลือแค่ครึ่งหนึ่งจึงได้ใจ ลองตื้ออีกสักยก ด้วยการยื่นอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้อง อ้างว่าคดีขาดอายุความ ปรากฏว่าได้ผลดีกับฝ่ายจำเลยทุกคนเพราะ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันจ่ายเงินเพียง 16,600 บาท ให้แก่ บริษัทเงินหนา
จำเลย คือ นายวาสนา ไม่หนักใจอะไรมากนัก ตัดสินใจลุยต่อด้วยการยื่นฎีกา เล็งไปที่เรื่องอายุความโดยอ้างกฎหมายแพ่ง มาตรา 563 ขอให้ยกฟ้อง ใจคอจะไม่จ่ายอะไรเลย
ศาลฎีกา ดูสำนวนคดีนี้แล้ว ชี้ออกมาว่า
ข้อเรียกร้องของ บริษัทเงินหนา มีกำหนดอายุความแค่ 6 เดือน นับแต่วันที่ยึดรถคืนไปเข้าข่ายตามกฎ หมายแพ่ง มาตรา 563 ตามที่ นายวาสนา อ้างใช่หรือไม่ เมื่อกางมาตรา 563 ซึ่งเขียนไว้ว่า "คดีอันผู้ให้เช่าจะฟ้องผู้เช่าเกี่ยวแก่สัญญาเช่านั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 6 เดือนนับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่เช่า" มาอ่านอย่างเผินๆ และตีความเข้าข้างตัวเองตามสไตล์ศรีธนญชัยอย่างในบ้านเรา คดีที่ นายวาสนา กับพวกโดนฟ้องน่าจะขาดอายุความนั้น
ศาลฎีกาท่านแทงว่า กฎหมายเขียนไว้ยังงั้นจริง แต่การตีความไม่ได้เป็นไปอย่างที่ นายวาสนา ตื้อมา 3 ศาลนั้นหรอก อายุความจะมีแค่ 6 เดือน นาฬิกาเดินติ๊กต๊อกๆ พักเดียวขาดอายุความนั้น พวกนายต้องอ่านกฎหมายให้แตกอย่าใช้วิชาศรีธนญชัย เพราะการใช้กฎหมายแพ่ง มาตรา 563 ต้องเป็นกรณีที่สัญญาเช่า (ซื้อ) ระหว่างคู่กรณียังมีผลอยู่ งานนี้ นายวาสนา เช่าซื้อรถยนต์แล้วผิดนัดไม่จ่ายค่างวด บริษัทบอกเลิกสัญญาไปนานแล้ว นายวาสนา ไม่ยอมส่งรถคืน ทำให้บริษัทเสียหายขาดประโยชน์ในการเอารถไปให้เช่า เรื่องพรรค์นี้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องถือว่ามีอายุความยาวเหยียด คือ 10 ปี ตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 193/30
กรณีที่บริษัทยึดรถคืนแล้วเอาไปขายทอดตลาดได้เงินน้อยกว่าค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ หันมาเรียกร้องเอาเงินที่ขาดจาก นายวาสนา ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันไปแล้วอีกนั่นแหละ ไม่เข้าข่ายตามมาตรา 563 และมีอายุความตั้ง 10 ปี อีกเช่นเคย ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความชัวร์
ศาลฎีกาจำเป็นต้องพิพากษายืน ให้จำเลยจ่ายเงินหมื่นกว่าบาทตามที่ศาลอุทธรณ์ว่าไว้ ซึ่งเป็นผลดีแก่จำเลยอักโขแล้วล่ะ
จากคดีนี้ชี้ให้เห็นว่า ทนายจำเลยนั่นแหละตีความเข้าข้างตนเอง พาลูกความเถิดเทิงในโรงศาลลากยาวจนถึงฎีกา อันที่จริงจบในชั้นอุทธรณ์ได้อยู่แล้ว ถ้าไม่มุ่งหน้าดึงเกมไปตามเรื่อง
จำไว้นะครับ ถ้าเผื่อไปหยิบเอากฎหมายแพ่งมาตรา 563 มาอ่านแบบลวกๆ แล้วคิดเอาเอง หรือมีทนายเขาบอกว่า เฮ้ย ฟ้องของไฟแนนศ์ขาดอายุความแล้ว ตั้งฟ้องมาเกิน 6 เดือน นับแต่วันที่มีการยึดรถคืนแล้ว เราต้องชนะ ต้องเป็น กกต. เรื่อยไปนี่หว่า อย่าไปรับมุกค้าความในเรื่องนี้ ที่จริงมีอายุความตั้ง 10 ปี ดังที่ศาลฎีกาชี้ออกมา
แต่ถ้าจะดึงเกมด้วยการอุทธรณ์ฎีกา โดยยึดเอาการอ้างมาตรา 563 เป็นข้อกฎหมายหรือใบเบิกทาง เพื่อหวังผลให้ศาลท่านลดจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายให้ไฟแนนศ์ ยังงี้โอเค คือ หวังผล ไม่ใช่ยิงตรงนั่นเองถือว่าเป็นวิธีการคลาสสิคที่ทนายเขานำมาใช้เป็นประจำนะครับ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8879/2547
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52872